อนึ่ง ค่าดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ(Gold Price Sentiment Index) ประจำเดือน พ.ค.56 อยู่ที่ 45.50 จุด
ทั้งนี้ ค่าดัชนีมีค่าต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่ระดับ 50.00 จุดค่อนข้างมาก สะท้อนทัศนคติในเชิงลบ โดยค่าความเชื่อมั่นราคาทองคำในเดือนมิ.ย.มีค่าต่ำกว่าเดือนพ.ค. ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า การที่ราคาทองคำมีการปรับตัวลงต่อเนื่องติดต่อกันในช่วง 5 เดือนแรกของปี ทำให้ความมั่นใจว่าราคาทองจะสามารถกลับขึ้นไปเป็นเชิงบวกได้อาจจะลดน้อยลง
ศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยผลสำรวจสัดส่วนการลงทุนในทองคำกับเงินออมเพื่อการลงทุนของกลุ่มตัวอย่างที่คาดว่าจะลงทุนในทองคำในปี 56 กับที่เคยลงทุนในปี 55 พบว่า กลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลดสัดส่วนการลงทุนทองคำเหลือเฉลี่ย 22.31% ในปี 56 ขระที่สัดส่วนการลงทุนในทองคำเฉลี่ยปี 55 อยู่ที่ 34.33% ลดลง 12.02% โดยสาเหตุของการลงทุนที่ลดลงนั้น เกิดจากความไม่แน่นอนของราคาทองคำ หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง 5 เดือนติดต่อกัน
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำในเดือนมิ.ย. ได้แก่ ค่าเงินบาท ทิศทางของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และปัญหาเศรษฐกิจยุโรป แต่ให้น้ำหนักค่าเงินบาทสูงสุด
ด้านนายภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ สรุปความคิดเห็นผู้ค้าทองคำ (Gold Trader Consensus) ซึ่งรวบรวมตัวอย่างจากผู้ค้าทองคำ ประธานชมรมค้าทองคำ และผู้ประกอบกิจการด้านการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า เชื่อว่าราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเดือนมิ.ย.โดยรวมน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,300-1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ ให้น้ำหนักกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,300-1,380 ดอลลาร์/ออนซ์ และ 1,420-1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ หากราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับราคาทองคำแท่งในประเทศ (ความบริสุทธิ์ 96.5%) สุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักราคาสูงสุดระหว่าง 20,000-21,500 บาท/หนึ่งบาททองคำ และกรอบความเคลื่อนไหวต่ำสุดระหว่าง 18,500-20,000 บาท/หนึ่งบาททองคำ โดยมีค่าเงินบาทและการชะลอมาตรการ QE ของธนาคากลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นประเด็นสำคัญในเดือนมิ.ย.
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มภาพรวมราคาทองคำยังอยู่ในเชิงลบจากปัจจัยการชะลอนโยบาย QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะลดขนาดการซื้อพันธบัตรที่ปัจจุบันมีการเข้าซื้อผ่านนโยบาย QE 3 ปริมาณ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อเดือน ทั้งนี้เชื่อว่าในอนาคตสหรัฐฯอาจจะไม่ชะลอมาตรการ QE เนื่องจากยังไม่เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชัดเจน เนื่องจากตัวเลขการว่างงานยังอยู่ในระดับที่สูงและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
นอกจากนี้ยังมีการขายต่อเนื่องของกองทุนขนาดใหญ่ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีมีแรงขายออกของกองทุนอย่างต่อเนื่องอย่างเช่น กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่มีการถือครองทองคำสูงที่สุดในโลก ลดระดับการถือครองลงจาก 1,350 ตัน ในช่วงต้นปีมาใกล้ 1,013 ตัน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งแรงขายอย่างต่อเนื่องถือเป็นแรงกดดันตลาดทองคำ ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีการบริโถคทองคำเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจทำให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดต่ำลงและลดแรงดึงดูดในการถือครองทองคำในสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
“เรามองว่าแนวโน้มของสหรัฐฯในอนาคตจะไม่ชะลอมาตรการ QE เนื่องจากตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ที่ 7.6% ซึ่งเป้าหมายของสหรัฐฯในการลดอัตราการว่างงานให้เป็นอยู่ที่ 6.5% จึงต้องมีการเพิ่มการจ้างงานอีก 2 ล้านคน จึงทำให้ตัวเลขการว่างงานเป็นไปตามเป้า และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ขณะนี้จึงอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่ที่ 1% โดยเป้าเค้าตั้งไว้ที่ 2.5% ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน จึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ชะลอมาตรการ QE ในอนาคต ซึ่งการที่สหรัฐฯส่งสัญญาณชะลอมาตรการ QE เป็นปัจจัยที่กดดันทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นและราคาทองปรับลดลง"นายภูษิต กล่าว
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำแท่งในประเทศช่วงครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวในกรอบ 19,000-21,500 บาท/หนึ่งบาททองคำ และให้น้ำหนักกรอบการเคลื่อนไหวในระยะยาวในช่วงครึ่งปีหลังระหว่าง 1,500-1,520 ดอลลาร์/ออนซ์ และ 1,250-1,320 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนน้ำหนักกรอบการเคลื่อนไหวในระยะสั้น 1,360-1,400 ดอลลาร์/ออนซ์