“เวลานี้ต้องอ่านสัญญาณด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีแรงส่งทั้งหมดเสริมให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ก็คงต้องระมัดระวัง แต่ขณะนี้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/56 แผ่วลง ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เดิมเคยมองว่จะร้อนแรงเกินไปหรือไม่นั้น ก็กลายเป็นแรงคานหรือถ่วงดุลเศรษฐกิจไว้ ดังนั้น วิธีที่ ธปท.จะทำคือจับตาดูอยู่ อย่าทำอะไรสุดขั้วสุดสวิง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากในประเทศหรือต่างประเทศ เพราะแนวก็คือใช้ความระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ชี้ไปทางข้างใดข้างหนึ่ง ต้องอ่านภาพเศรษฐกิจให้ชัดเจน"นายประสาร กล่าว
สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าหลังมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.5% แล้ว จะทำให้คนหันไปเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ส่วนตัวเห็นว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายลงไป ซึ่งดอกเบี้ยในตลาดจะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับธนาคารพาณิชย์ที่ต้องพิจารณาต้นทุนและปัจจัยต่างๆ ทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เรียกเก็บเงินดาวน์เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับมาตรการของ ธปท.ที่คาดว่าจะออกมาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตนั้น ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัว ก่อให้เกิดผลดีต่อทั้งผู้ประกอบการและลูกค้า
“การที่คนหันมาเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์บ้าง เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าถือเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนการที่ให้ลูกค้าวางเงินดาวน์เพิ่มก็เพื่อป้องกันตัวเอง ให้รู้สึกว่าคนที่มากู้มีเงินจริง ไม่ได้กู้มากจนเกินไป คือถ้าซื้อด้วยเงินตัวเอง เวลาเกิดอะไรขึ้นจะไม่ค่อยกระทบคนอื่น แต่ที่เป็นปัญหาฟองสบู่แตก ก็เพราะเราไปกู้เขามา โดยฟองสบู่จะเกิดจากภาวะที่คนสะสมทรัพย์ไว้ด้วยเงินกู้ และเมื่อเกิดปรากฎการณ์สภาพคล่องหดหรือดอกเบี้ยปรับขึ้น ก็จะเหมือนเป็นเข็มที่ไปทิ่มฟองสบู่ ทำให้ฟองสบู่แตก แต่เวลานี้ยืนยันยังไม่ใช่ทิศทางแบบนั้น"นายประสาร กล่าว