ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีและนายราวเออร์ส ได้หารือในหัวข้อสำคัญหลายประการ ซึ่งนายราวเออร์ส เปิดเผยถึงรายละเอียดของ “แผนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของ ยูนิลีเวอร์" (Unilever Sustainable Living Plan) โดยมีเป้าหมายที่จะเติบโตทางธุรกิจเป็นสองเท่า แต่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ทั่วโลกจะต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ประการ ภายในปี พ.ศ. 2563 คือ การพัฒนาสุขภาพและปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ให้แก่ประชาชนกว่าหนึ่งพันล้านคน การจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างยั่งยืน 100% และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงครึ่งหนึ่ง อันเนื่องมาจากกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์
นอกจากนื้ ยังได้กล่าวถึงความร่วมมือกับภาครัฐในการทำโครงการคัดแยกขยะต้นแบบ โดยรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการคัดแยกขยะ เพื่อมุ่งลดขยะภายในครัวเรือน โดยนำร่องที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีชื่นชมและเห็นด้วยในการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างชาติในประเทศไทย อาทิ การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งในประเทศ รวมทั้งเชื่อมต่อประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าของภูมิภาค การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 และจะเหลือเพียงร้อยละ 20 ภายในปี 56 นี้ เป็นต้น
นายกฯ ยังได้ให้ความมั่นใจต่อนายราวเออร์ส ว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทยต่อไป และยินดีสนับสนุนและมีส่วนร่วมในโครงการอันเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทฯ