IMF ประเมิน GDP ไทยปีนี้โต 4.75% แม้ Q1/56 ชะลอตัว, ปี 57 โต 5.25%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 18, 2013 08:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นาย Luis E. Breuer หัวหน้าคณะผู้แทนกองทุนการเงินการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สรุปผลการประเมินนภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2556 ว่า คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ เห็นว่า เศรษฐกิจไทยมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงต่างๆ ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผลจากวิกฤตการเงินโลก ห่วงโซ่อุปทานที่ต้องหยุดชะงักจากเหตุการณ์ สึนามิในญี่ปุ่น รวมทั้งมหาอุทกภัยในปี 2554 โดยเป็นผลมาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากการขยายตัวในระดับสูง เสถียรภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งรวมไปถึงการมีวินัยด้านการคลัง งบการเงินของภาคธนาคารพาณิชย์และภาคธุรกิจที่แข็งแกร่ง และระดับทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนระดับหนี้สาธารณะที่สามารถบริหารจัดการได้

แม้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอลงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แต่คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ คาดว่าทั้งปี 2556 และ 2557 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 4.75 และ 5.25 ตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากอุปสงค์ภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกณฑ์ดีและการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีอยู่โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอก ขณะที่การเมืองในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้นและส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ดีความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายจะเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ เห็นว่า แรงกระตุ้นทางการคลังเพื่อสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศภายหลังวิกฤตการเงินโลกและการซ่อมแซมความเสียหายจากมหาอุทกภัยในระยะที่ผ่านมามีความเหมาะสม ภายใต้ภาวการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ภาครัฐสามารถใช้โอกาสนี้ทยอยลดการกระตุ้นเศรษฐกิจลงได้ เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถทางการคลัง (fiscal space) ที่จะรองรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านนโยบาย (policy buffers) เพื่อรองรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ สนับสนุนความตั้งใจของทางการไทยที่จะรักษากรอบวินัยทางการคลัง ด้วยการกำหนดเป้าหมายสัดส่วนหนี้สาธารณะไม่เกินร้อยละ 50 ของ GDP และมีงบประมาณสมดุลในปี 2560 ซึ่งมีมาตรการสนับสนุนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ การปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและการขยายฐานภาษี การลดแรงจูงใจด้านภาษีสำหรับการบริโภค การปรับปรุงระบบภาษีสรรพสามิต รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณ ในการนี้ คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ ได้หารือมาตรการการคลังเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนนโยบายของทางการในการเพิ่มการใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ไปพร้อมกับการรักษาวินัยด้านการคลังด้วย

การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังถือว่าผ่อนคลายและเหมาะสมในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในภาวะปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ธปท. ยังคงต้องติดตามการส่งผ่านของแรงกดดันด้าน อุปสงค์และค่าแรงไปยังเงินเฟ้อต่อไป และเตรียมพร้อมในการปรับนโยบายการเงินหากมีแรงกดดันเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ เห็นว่า การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อและความน่าเชื่อถือของ ธปท. เป็นปัจจัยที่ช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความผันผวนและนักลงทุนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงทุนต่อความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมา การดำเนินการเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดการเงิน ได้แก่ การให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้มากขึ้นตามกลไกตลาด และการเตรียมพร้อมในมาตรการด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายถือว่าเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทยส่งผลดีต่อภาคการเงิน อย่างไรก็ดี คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ มีความกังวลจากการขยายบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ สนับสนุนความตั้งใจของทางการไทยที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับการดำเนินงานของ SFIs ด้วยการปรับปรุงการกำกับดูแล รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานของ SFIs ให้มีมาตรฐานใกล้เคียงกับระบบธนาคารพาณิชย์ โดยยังคงทำหน้าที่ของ SFIs ได้ด้วย สำหรับหนี้ของภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการซ่อมแซมหลังอุทกภัย และนโยบายการกระตุ้นการบริโภคในประเทศในระยะสั้นยังเป็นสิ่งที่ทางการไทยต้องติดตาม

คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ สนับสนุนแนวนโยบายของทางการที่จะให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม (inclusive growth) ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการขนส่ง ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับผลิตภาพ (productivity) โดยรวมของประเทศและการรักษาวินัยทางการคลัง รวมถึงความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณและการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจและ SFIs ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศดำเนินการได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ คณะผู้แทนกองทุนการเงินฯ เสนอให้ทางการพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกลไกในการช่วยเหลือภาคประชาชน เช่น ให้เงินช่วยเหลือที่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะในโครงการด้านการศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งจะช่วยให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ