2.ขอให้รัฐบาลจัดโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าวอย่างจริงจัง ซึ่งข้าวคุณภาพดีจะต้องมีราคารับจำนำแตกต่างจากข้าวคุณภาพต่ำ
และ 3.ขอให้เร่งระบายสต็อกข้าวอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม โดยขอให้ยกเลิกการขายแบบลับๆ ให้แก่เอกชนที่มีความใกล้ชิด และให้เปิดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อให้มีการต่อรองราคาและไม่กระทบต่อราคาข้าวในตลาด
อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทย ได้ตั้งคณะทำงานขึ้น 1 ชุด โดยมีนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นประธาน เพื่อติดตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด
ส่วนการปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าลงเหลือตันละ 12,000 บาท ซึ่งมีผลวันที่ 1 ก.ค.นี้ว่า ได้เสนอแนะไปแล้วว่าให้รับจำนำในราคาตลาดหากตลาดตันละ 12,000 บาทก็จำนำ 12,000 บาท แต่หากราคาตลาด 11,000 บาท ก็ต้องรับจำนำตันละ 11,000 บาท ส่วนการช่วยชาวนา ต้องช่วยให้แข็งแรง ไม่ใช่ช่วยเหลือแบบนี้ทุกปี
ด้านนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัญหาเฉพาะหน้าในขณะนี้คือ รัฐบาลต้องเร่งระบายข้าวในสต็อกออกไป เพราะดูจากตัวเลขของรัฐบาลที่ระบุว่า เฉพาะโครงการนาปีปี 54/55 และนาปรังปี 55 ใช้เงินไป 550,000 ล้านบาท ขายข้าวออกไป 590,000 ล้านบาท ขาดทุน 136,000 ล้านบาท แสดงว่ายังมีสต็อกอยู่อีกจำนวนมาก การไม่ระบายสต็อกออกไป และจะรับจำนำเพิ่ม จะทำให้สต็อกยิ่งเพิ่มขึ้น มีแต่เสียกับเสีย ซึ่งภาคเอกชนยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการระบายข้าวออกไป
"แต่การระบายข้าว จะต้องเปลี่ยนวิธีการจากการที่ขายกันแบบลับๆ ไม่เกิดประโยชน์ ต้องเปลี่ยนมาทำแบบเปิดประมูลเป็นการทั่วไป เชิญผู้ค้าข้าวมาร่วมประมูล จะได้ประโยชน์กว่า ส่วนที่กลัวว่าประมูลแล้วราคาจะตก ก็อย่าประมูลล็อตใหญ่ๆ ที่ละ 2 ล้านตัน 3 ล้านตัน แบ่งประมูลล็อตเล็กๆ ทุกๆ เดือน เพราะภาคเอกชนมีออร์เดอร์ที่ต้องส่งมอบข้าวอยู่แล้ว"นายวิชัยกล่าว