เบอร์นันเก้กล่าวว่า หากข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดจะได้รับในวันข้างหน้านั้นบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตร หรือชะลอการทำ QE ภายในปีนี้ และหากข้อมูลเศรษฐกิจยังคงออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ เฟดก็จะยังคงลดขนาดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปีหน้า และจะสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรประมาณกลางปีหน้า
"ในกรณีนี้ เมื่อโครงการซื้อสินทรัพย์สิ้นสุดลงในท้ายที่สุด อัตราว่างงานจะมีแนวโน้มใกล้เคียง 7%" เบอร์นันเก้กล่าว
ทั้งนี้ เบอร์นันเก้พยายามที่จะพูดเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น โดยระบุว่า เฟดคาดว่าจะกำหนดระยะห่าง ระหว่างการยุติโครงการซื้อพันธบัตรและการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นซึ่งยังคงเคลื่อนไหวใกล้ 0% มานับตั้งแต่ปลายปี 2551 "เป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยังคงเหมาะสมเป็นระยะเวลานาน หลังจากการซื้อสินทรัพย์ยุติลงแล้ว"
นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ย้ำว่า การดำเนินการเพื่อควบคุมมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้น จะอยู่บนเงื่อนไขของข้อมูลที่เฟดจะได้รับ และความคืบหน้าของแนวโน้มเศรษฐกิจ
"หากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อัตราการซื้อสินทรัพย์ก็อาจจะลดลงรวดเร็วขึ้น แต่หากแนวโน้มเศรษฐกิจซบเซาลง หรือหากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาวะด้านการเงินเคลื่อนไหวอย่างไม่สอดคล้องกับความคืบหน้าในตลาดแรงงาน การปรับลดอัตราการซื้อสินทรัพย์ก็อาจจะล่าช้าออกไป" เบอร์นันเก้กล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน