ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ อานิสงส์จากนโยบายภาครัฐที่ได้ดำเนินการมาแล้วพักใหญ่ อาทิ นโยบายคืนภาษีรถคันแรก กำลังอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งผลิตเพื่อส่งมอบและยอดยกเลิกใบจองพุ่ง) รวมไปถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3 แสนกว่าล้านบาท ที่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจพลาดเป้าการเบิกจ่าย 7 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2556 ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยคาดหวังไว้ เพราะโครงการต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกมากกว่าจะเริ่มเบิกจ่ายได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขั้นตอนการทำสัญญาเงินกู้ ตลอดจนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
อีกทั้งส่อเค้าว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เมกะโปรเจ็คต์ 2 ล้านล้านบาทจะล่าช้าออกไปจนไม่สามารถเริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างแท้จริงได้ทันภายในสิ้นปี ซึ่งแนวโน้มการเบิกจ่ายงบประมาณที่ถูกเลื่อนออกไปจะส่งผลกระทบทางอ้อมมายังการลงทุนของภาคเอกชน (Crowding-in effect) ให้ชะลอตามออกไปด้วย อันเนื่องมาจากภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นต่อความไม่แน่ชัดของระยะเวลาที่นโยบายโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น แรงส่งจากนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังจะหดหายไป ในขณะที่เม็ดเงินคาดหวังก้อนใหม่ก็เหมือนจะไม่สามารถรับช่วงต่อได้อย่างทันท่วงที ความคาดหวังของการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบไร้รอยต่อ คงยากที่จะเกิดขึ้น และนั่นจะทำให้เกิดช่องว่างในการช่วยผลักดันให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนในประเทศ สามารถช่วยต้านทานภาวะการส่งออกที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจเหมือนเช่นในอดีต
"เศรษฐกิจไทยในไครมาสแรกที่ขยายตัวต่ำกว่าหลายฝ่ายคาดการณ์นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ทราบถึง "หล่มเศรษฐกิจ" ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นับจากนี้ไป หากนโยบายการคลังสะดุด ไม่สามารถผลักดันให้การใช้จ่ายในประเทศเดินต่อไปได้ บางทีเราอาจได้เห็น กระสุนดอกเบี้ยของนโยบายการเงิน อาจถูกนำมาใช้เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปก็เป็นไปได้" ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ระบุ