นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า แม้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐอเมริกาจะเป็นไปตามคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงมาตรการทั้งนโยบายดอกเบี้ยต่ำและการซื้อสินทรัพย์ แต่การส่งสัญญาณชะลอมาตรการในอนาคตก็มีผลมากพอที่จะทำให้ตลาดตอบรับในเชิงลบ โดยจะเห็นว่าราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน
ขณะที่สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นเทียบสกุลเงินหลัก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นทันทีกว่า 15 basis point หรือประมาณ 6.5% หลังทราบผล สะท้อนนักลงทุนตอบสนองต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยประเมินว่าสัญญาณจะเริ่มเห็นชัดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หรืออย่างช้าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 โดยเหตุผลที่เชื่อว่าจะอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวมาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ
ประการแรก เชื่อว่าเฟดจะรอสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่าในปัจจุบัน จากการประเมินเศรษฐกิจที่วัดจากการเติบโตของ GDP ในช่วง 2.3-2.6% สะท้อนว่าเฟดมีมุมมองต่อเศรษฐกิจในปี 2556 ว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ตัวเลขการฟื้นตัวในตลาดการจ้างงานยังเติบโตในอัตราส่วนที่ช้าเกินไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 6.5% ขณะที่ผลกระทบจากการชะลอมาตรการในขณะที่เศรษฐกิจยังพึ่งตัวเองไม่ได้อาจจะส่งผลร้ายในระยะยาว ดังนั้นการถอนมาตรการในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจจึงอาจจะยังไม่ใช่จังหวะเวลาที่ดี
ประการที่สอง ความต้องการสภาพคล่องลดลงจากการตัดรายจ่ายอัตโนมัติของรัฐบาลสหรัฐ(sequestration) ทำให้ความจำเป็นในการใส่สภาพคล่องในอนาคตลดลง จึงเชื่อได้ว่าการลดขนาดของ QE ในช่วงปลายปีมีความสมเหตุสมผล โดยจำนวนการตัดลดรายจ่ายในปีนี้ประมาณ 8.5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
ประการสุดท้าย ความเป็นไปได้ที่นายเบน เบอร์นันเก้ อาจจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดต่อหลังครบวาระในปีหน้า จึงน่าจะเป็นเวลาที่สอดคล้องกันกับการหมดวาระของประธานเฟด และการลดนโยบายสภาพคล่องลง
นายกมลธัญ กล่าวต่อว่า เมื่อประเมินทิศทางราคาทองคำหลังสัญญาณการชะลอมาตรการ QE เชื่อว่าจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำในตลาดโลกจากการระบายสถานะและเข้าถือดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะการชะลอมาตรการจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้น แต่เชื่อว่าการอ่อนตัวลงจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงด้านอื่น ประกอบกับการอ่อนตัวลงของราคาทองคำจะกระตุ้นความต้องการซื้อเพื่อการบริโภคเพิ่มมากขึ้น
โดยเชื่อว่าราคาทองคำตลาดโลกในระยะสั้นจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,300-1,450 เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศจะได้รับแรงหนุนจากทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จากผลกระทบของความวิตกการชะลอมาตรการ QE ทำให้ราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าทองคำในตลาดโลก โดยช่วงครึ่งหลังของปีตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นสำคัญต่อการลงทุนในทองคำรวมถึงสินทรัพย์อื่น เพราะจะเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาการลดหรือไม่ลดมาตรการ QE ต่อไป
ขณะที่ราคาทองในประเทศวันนี้ เคลื่อนไหวผันผวน จากราคาในช่วงเช้าที่ยังสามารถปรับขึ้นได้ แต่พอมาในช่วงสายราคาทองได้ทยอยปรับลดลงรวม 550 บาท โดยล่าสุดราคาเมื่อเวลา 15.06 น. ซึ่งเป็นการปรับเป็นรอบที่ 10 ของวัน ราคาทองคำแท่ง รับซื้ออยู่ที่บาทละ 19,300 ขายออก บาทละ 19,400 ขณะที่ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 19,025.80 ขายออก บาทละ 19,800