TDRI มองประชานิยม"ยิ่งลักษณ์"เฉพาะกลุ่ม,"รถคันแรก"สวนทางการพัฒนา ห่วงหนี้สาธารณะพุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday June 25, 2013 17:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในการเสวนาสาธารณะ “เศรษฐกิจแห่งวันพรุ่งนี้"(Economy of Tomorrow) เรื่อง “คิดใหม่ประชานิยม: จากรัฐบาลทักษิณถึงยิ่งลักษณ์ เราเรียนรู้อะไรบ้าง"ว่า ประชานิยมในทางเศรษฐกิจ เป็นนโยบายซึ่งหวังผลให้ได้การสนับสนุนทางการเมือง โดยเน้นการล้วงกระเป๋าคนกลุ่มหนึ่งไปให้คนอีกกลุ่ม หรือแทรกแซงกลไกตลาด ซึ่งโดยตัวมันเองไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าสามารถช่วยสร้างขีดความสามารถในระยะยาวของประชาชนและภาคธุรกิจ ปัญหาก็คือ นโยบายประชานิยมส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงหลัง นอกจากไม่ช่วยสร้างความเข้มแข็งของประชาชนหรือภาคธุรกิจแล้ว ยังสร้างภาระทางการคลังต่อประเทศมาก

สำหรับนโยบายรถคันแรกเป็นตัวอย่างนโยบายประชานิยมในเชิง ลด-แลก-แจก-แถม ที่มีปัญหามาก และสวนทางกับแนวทางการพัฒนาที่ควรจะทำให้คนทุกกลุ่มใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น นโยบายประชานิยมส่วนใหญ่ยังไม่มีการติดป้ายราคาบอกผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งว่ามีต้นทุนเท่าไร นโยบายประชานิยมในช่วงหลัง ๆ ยังเริ่มเข้าไปหากลุ่มเฉพาะมากขึ้น เช่น เรื่องรถ แรงงาน ข้าว แต่ละกลุ่มก็มีกลุ่มผลประโยชน์อยู่ในแต่ละเรื่อง การกระจายผลประโยชน์ที่แคบลงทำให้นโยบายประชานิยมเหล่านี้มีคุณภาพที่ด้อยลงไปด้วย

"หากเปรียบประชานิยมยุครัฐบาลทักษิณเป็นประชานิยมรุ่นแรก และยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรุ่นที่สอง นโยบายรุ่นแรก เช่น 30 บาทรักษาทุกโรคช่วยสร้างขีดความสามารถประชาชนอย่างมาก เพราะสุขภาพเป็นรากฐานของมนุษย์ นโยบายโอทอปก็เป็นความพยายามสร้างความสามารถให้แก่ธุรกิจชุมชน แม้จะมีปัญหาหลายอย่างก็ตาม

แต่นโยบายประชานิยมในรุ่นที่สองจำนวนมากไม่เข้าข่ายนี้เลย เช่น นโยบายรถคันแรก เกิดจากการล็อบบี้โดยนักลงทุนข้ามชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์ นโยบายนี้จึงออกมาเพื่อเอาใจนักลงทุนต่างประเทศแล้วผู้ซื้อรถคนไทยเป็นผลพลอยได้ ตอนนี้ก็เห็นชัดว่ามีคนไม่สามารถรับรถได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางยี่ห้อสูงถึง 70-80%" นายสมเกียรติ กล่าว

ต่อข้อเสนอจากบางฝ่ายให้นักวิชาการรวมทั้งทีดีอาร์ไอมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านนั้น นายสมเกียรติ กล่าว่า การที่เรามีพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ค่อยเข้มแข็ง ไม่ควรจะเป็นเหตุให้สถาบันทางวิชาการต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแทน ทีดีอาร์ไอและนักวิชาการควรวิพากษ์วิจารณ์นโยบายแต่ละเรื่องมากกว่าที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ตัวระบบการเมือง ซึ่งเลี่ยงได้ยากที่จะเข้าไปพัวพันกับการเมือง

อย่างไรก็ตาม การวิจารณ์ต้องอยู่บนหลักวิชาการและข้อมูลว่า นโยบายเหล่านั้นมีข้อดีและข้อเสียที่ควรปรับปรุงอย่างไร ภาควิชาการควรเป็นตัวแทนของภาคประชาสังคม ภาคประชาชน คนเล็กคนน้อยที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคมมากกว่าที่จะเข้าไปต่อสู้ในเวทีทางการเมืองโดยตรง เพราะในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยมีกลไกตัดสินใจอยู่แล้ว

จากประสบการณ์ที่มีนักวิชาการจากทีดีอาร์ไอเข้าไปร่วมในตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาลในอดีตและได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากนั้น เราได้ทบทวนบทเรียนและได้ข้อสรุปว่าต่อไปเราไม่ควรจะเดินเส้นทางนั้นอีก เราอยากเห็นการเมืองประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น เป็นการเมืองที่นอกจากจะเป็นตัวแทนของเสียงข้างมากแล้ว ยังคุ้มครองเสียงข้างน้อยที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคม ไปจนถึงรุ่นลูกหลานที่ไม่สามารถออกเสียงเลือกตั้งในวันนี้ด้วย

“ด้วยแนวคิดอย่างนี้เราจึงวิตกทุกข์ร้อนกับนโยบายประชานิยม ไม่ใช่ว่าเพราะเราเป็นพวกเสรีนิยมใหม่ ซึ่งมีแนวคิดต่างจากนักวิจัยส่วนใหญ่ในทีดีอาร์ไอมาก แต่เพราะพวกเราเห็นว่าถ้าปล่อยให้ดำเนินนโยบายประชานิยมแบบนี้ต่อไป มันจะพาเราไปสู่วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่รับภาระก็คือคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา ในฐานะที่เป็นหน่วยงานทางวิชาการ เราอยากมีส่วนช่วยทำให้การเมืองในระบบรัฐสภามีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น งานหนึ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือ การร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าจัดตั้งหน่วยวิเคราะห์งบประมาณของรัฐสภา เพื่อช่วยให้รัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น"

สำหรับนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่อยากเห็น คือ นโยบายที่มีความรับผิดชอบทางการคลัง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีกติกาที่ทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่แข่งขันกันจนทำลายตัวเอง หรือทำลายเศรษฐกิจจนเกิดวิกฤติ กฎกติกาบางอย่างอาจต้องไปแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย โดยต้องแก้ให้มีวินัยทางการคลังที่จำกัดการใช้เงิน ไม่ใช่ปล่อยให้ขาดดุลทางการคลังต่อเนื่องไปนานๆ

ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยขาดดุลการคลังมาทุกปี ยกเว้นปี 2548 ปีเดียว และถ้าเกิดแข่งขันกันทางนโยบายแบบนี้ต่อไปก็จะมีแนวโน้มขาดดุลเพิ่มขึ้น แม้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ระดับ 44-45% ของจีดีพี ซึ่งยังไม่ใช่ระดับที่สูง แต่ถ้าเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ มีแรงกระแทกจากภายนอกก็ทำให้หนี้สาธารณะสามารถกระโดดขึ้นได้ เช่นที่เคยเกิดหลังวิกฤติในปี 2540 ซึ่งหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 16% เป็น 61% ของจีดีพีในเวลาเพียง 2-3 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ