แม้ในช่วงครึ่งหลังของปี 56 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยคงขยายตัวได้ในอัตราที่ระมัดระวังมากขึ้น สอดคล้องกับการปรับลดประมาณการสินเชื่อของหลายธนาคารในช่วงที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงตามปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ภายในประเทศที่ทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น หลังจากมาตรการสนับสนุนต่างๆ ของทางการสิ้นสุดลง ผนวกกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีนและภูมิภาคอาเซียนที่ส่งสัญญาณการชะลอตัว
ด้วยสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในระยะถัดไปที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดินหน้าลดวงเงินการซื้อสินทรัพย์ภายใต้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงปลายปี 2556 ตามกรอบเวลาที่ระบุไว้หลังการประชุมครั้งล่าสุด และยุติมาตรการ QE ในช่วงกลางปี 2557 แล้ว คงทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยแต่ละแห่งเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารจัดการสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารจะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ไปได้อย่างราบรื่น แม้ว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศจะไม่ใช่แหล่งระดมเงินทุนหลักของธนาคารพาณิชย์ไทย อีกทั้งสภาพคล่องของธนาคารในองค์รวมยังน่าจะเพียงพอต่อการขยายตัวของธุรกิจหลักอย่างสินเชื่อ ท่ามกลางสภาพคล่องส่วนเกินของระบบการเงินไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง ดังสะท้อนได้จากยอดคงค้างพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า 3.18 ล้านล้านบาท
ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวคงมีผลกระทบต่อความต้องการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อในบางภาคส่วน
"การเติบโตของสินเชื่อในอัตราที่ชะลอลงดังกล่าว คงส่งผลให้ความต้องการใช้สภาพคล่องโดยรวมของธนาคารพาณิชย์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2556 ลดลงในทิศทางที่สอดคล้องกัน" ศูนย์วิจัยฯ ระบุ
ส่วนประเด็นทางเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คงได้แก่ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และท่าทีของเฟดในการทยอยลดมาตรการ QE รวมถึงทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยซึ่งผูกโยงกับความต่อเนื่องของการลงทุนจากภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคส่งออก เนื่องจากคงจะมีผลเกี่ยวโยงมาถึงการขยายตัวของสินเชื่อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงความต้องการระดมสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ในระยะถัดไป