SCB EIC คาด GDP ปี 56 ยังขยายตัวได้ 4.5-5.0% แม้ส่งออกชะลอตัว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 28, 2013 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ปรับคาดการณ์ GDP ของไทยปี 56 ขยายตัวได้ 4.5-5.0% โดยเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายภาคเอกชนที่มีสัญญาณแผ่วลง อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งการส่งออกที่น่าจะมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในช่วงหลังของปีจะสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้ยังคงเติบโตได้ในกรอบดังกล่าว

การส่งออกของไทยขยายตัวน้อยกว่าที่คาด โดยช่วง 5 เดือนแรกของปีการส่งออกขยายตัวได้เพียง 1.9% โดยปัจจัยหลักคือการส่งออกไปจีนที่หดตัวจากความต้องการสินค้าขั้นกลางในภาคการผลิตของจีนที่ลดลง แม้ว่าการส่งออกของไทยมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นในครึ่งปีหลังตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ในภาพรวมจะขยายตัวได้อย่างจำกัดในปีนี้

ขณะที่การบริโภคภาคครัวเรือนมีแนวโน้มแผ่วลงในช่วงหลังของปีภายหลังจากที่รถยนต์ส่วนใหญ่ภายใต้นโยบายรถคันแรกได้ส่งมอบไปแล้วในครึ่งปีแรก อีกทั้งความผันผวนของราคาสินทรัพย์จากแนวโน้มเงินทุนไหลออก และการลดราคารับจำนำในโครงการรับจำนำข้าวของภาครัฐ จะส่งผลให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนอัตราเงินเฟ้อ เงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยปี 56 จะอยู่ที่ราว 2.6% และ 1.3% ตามลำดับ ทั้งนี้ศูนย์วิจัยฯ มองว่า แรงกดดันด้านราคาในครึ่งปีหลังยังคงมีน้อยจากราคาพลังงานในประเทศที่ยังคงทรงตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและมาตรการดูแลค่าครองชีพจากภาครัฐ รวมถึงการบริโภคที่น่าจะยังคงชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี

อย่างไรก็ดี แผนการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนในช่วงเวลาที่เหลือของปียังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออยู่

สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 56 คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ที่ 2.50% จนถึงสิ้นปี โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ระดับปัจจุบันมีความเหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจ แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาปรับลดลงเพิ่มเติมหากการใช้จ่ายภาคเอกชนชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ภาวะเงินทุนไหลออกจากการส่งสัญญาณลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (การลดขนาด QE) จะไม่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทย เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดวิกฤติดุลการชำระเงิน

อย่างไรก็ดี ด้วยแนวโน้มการบริโภคภาคครัวเรือนที่ชะลอตัวลง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง อาจมีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง หากปรากฏว่าการบริโภคภาคครัวเรือนยังคงขยายตัวต่ำกว่าที่คาดในช่วงที่เหลือของปี

ด้านอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่า ค่าเงินบาทจะยังคงผันผวนจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะสั้นเป็นอย่างน้อย การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณว่าอาจลดขนาด QE ภายในสิ้นปีนี้ เป็นผลให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ไปยังสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงใกล้เคียงเงินสด (Near cash assets) ทั้งนี้ คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี 56


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ