ทั้งนี้ การลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นการได้รับมอบอำนาจเต็มจากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โดยอยู่ภายในเงื่อนไขระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.56 ซึ่งหากกระทรวงการคลังไม่ดำเนินการภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดไว้ จะทำให้ไม่สามารถกู้เงินมาใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการต่างๆ ในแผนบริหารจัดการน้ำได้ และอาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศหากโครงการนี้ต้องพับไปโดยไม่มีการกู้เงินเกิดขึ้น
"คำพิพากษาของศาล ไม่ได้มีการระงับโครงการน้ำหรือยกเลิกแผนบริหารจัดการน้ำ แต่แค่ให้ไปทำกระบวนการให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ คือการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลังต้องเดินหน้าผูกพันเงินกู้ก่อนที่อำนาจการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ดังกล่าวจะหมดในวันที่ 30 มิ.ย." รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว
พร้อมยืนยันว่า กระทรวงการคลังมีความจำเป็นต้องเดินหน้าในการผูกพันการกู้เงินตามโครงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งหากดำเนินการไม่ทันกำหนดอาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 นอกจากนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจของไทยคาดว่าจะเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่กลางปีนี้ไป ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยเม็ดเงินที่เกิดจากรายจ่ายภาครัฐจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังผันผวน
อย่างไรก็ดี เงินกู้ดังกล่าวมีระยะเวลาทยอยชำระคืนต้นเงินกู้ 4 ปีนับจากวันเบิกจ่ายเงินกู้ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3.8% ต่อปี และวงเงินกู้ดังกล่าวจะมีระยะเวลาการเบิกจ่ายภายใน 6 ปี ตั้งแต่ปี 56-61