ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเยนที่ระดับ 99.72 เยน จากระดับของวันศุกร์ที่ 99.18 เยน และดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9456 ฟรังค์ จากระดับ 0.9438 ฟรังค์
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3059 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3018 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.5208 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5212 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้นแตะระดับ 0.9231 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9157 ดอลลาร์สหรัฐ
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเงินเยน หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่เพิ่มขึ้นแตะระดับ +4 จากไตรมาสแรกที่ระดับ -8 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ +3 เพราะได้แรงหนุนจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินเยน
นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังได้ปัจจัยบวกหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนมิ.ย.ขยายตัวแตะ 50.9 จาก 49.0 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตสหรัฐมีการขยายตัว
ส่วนสกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากมาร์กิตเปิดเผยผลสำรวจที่ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซนในเดือนมิ.ย.ขยับขึ้นแตะ 48.8 ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี จากระดับ 48.3 ในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซนได้รับปัจจัยหนุนจากภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่ในภูมิภาค อย่างฝรั่งเศสและอิตาลี ซึ่งแม้ว่ายังคงอยู่ในภาวะหดตัว แต่ก็เป็นไปในอัตราที่ช้าลง โดยผลสำรวจระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของฝรั่งเศสในเดือนมิ.ย.ปรับขึ้นแตะ 48.4 จาก 46.4 ในเดือนพ.ค.
นักลงทุนจับตาดูกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนพ.ค. ในวันนี้เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ายอดสั่งซื้อจะเพิ่มขึ้น 2.0%