แนวโน้มครึ่งปีหลัง การส่งออกยังเผชิญความไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนในปีนี้ลงเหลือ 7.4% อย่างไรก็ดี การเติบโตของการส่งออกในครึ่งปีหลังอาจสูงกว่าครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่การบริโภคและการลงทุนในประเทศยังประสบปัญหาการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
นายประสพสุข ดำรงชิตานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บรษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตัวแปรหลักที่มีผลกระทบต่อการปรับประมาณการมาจากสัญญาณชะลอการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยให้ลดลงประมาณ 0.1% ขณะเดียวกันการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย และกดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกยังคงอ่อนตัวลง มีผลกระทบต่อ GDP ไทยให้ลดลงราว 0.2%
ส่วนปัจจัยในประเทศ การบริโภคที่ซบเซาลงหลังจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับ ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อ GDP ไทยให้ปรับลดลงราว 0.2% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงหลังจากเกิดความกังวลในความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อ GDP ไทยให้ลดลงราว 0.2% และปัจจัยสุดท้ายคือโครงการลงทุนภาครัฐที่มีความล่าช้าจากปัญหาต่างๆ ส่งผลกระทบต่อ GDP ไทยลดลงประมาณ 0.1%
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงมาอยู่ที่ 4.0% จาก 4.8%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 56 การบริโภคของภาคเอกชนจะขยายตัวลดลงเหลือ 2.6% จากเดิม 3.5% การลงทุนลดลงเหลือขยายตัว 3.3% จากเดิม 6.5% การส่งออกปรับลดลงเหลือขยายตัว 4.0% จากเดิม 7.0% การนำเข้าปรับลดลงเหลือขยายตัว 5.7% จากเดิม 8.5 % ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับเป็นขาดดุล 0.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมขาดดุล 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงเหลือ 2.5% จากเดิม 2.6 %
ด้านอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงเป้าหมายเดิมที่ขยายตัว 1.9% เศรษฐกลุ่มยูโรโซนขยายตัวติดลบเพิ่มขึ้นเป็น 0.7% จากเดิมคาดติดลบ 0.4% เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.8% จากเดิม 1.5% และเศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวลดลงเหลือ 7.4% จากเดิม 7.9%
ขณะที่แนวโน้มของภาคธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง ธุรกิจที่ยังน่าจะเติบโตได้ดี คือ โทรคมนาคม ท่องเที่ยว สุขภาพ และพลังงานทดแทน ธุรกิจที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกคือ สินค้าเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าส่งออก ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจก่อสร้าง ส่วนธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกและในประเทศ ได้แก่ สินค้าบริโภค ธุรกิจค้าปลีก รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์สำนักงาน
ส่วนปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงถึง 77.4% นั้นมองว่าปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องหนี้เสีย(NPL)ที่มีนัยสำคัญ และยังไม่ได้เป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยมองว่าหนี้ภาคครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นมาจากความเจริญที่กระจายไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ๆ ส่งผลให้ประชาชนเริ่มมีรายได้ดีขึ้นและหันมากู้เงินในระบบมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้มีการกู้นอกระบบเป็นจำนวนมาก รวมถึงปัจจุบันประชาชนมีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้จากรายได้ที่มากกว่ารายจ่าย ประกอบกับ ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำและยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่อ
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้า หากภาวะเศรษฐกิจไทยเกิดปัญหา อาจจะส่งผลกระทบกับหนี้ NPL ได้