ทั้งนี้ รัฐบาลยอมรับว่าเป็นห่วงเรื่องการลงทุนในด้านต่าง ๆ ของภาครัฐที่อาจจะต้องล่าช้า เช่น โครงการตามแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองในการทำประชาพิจารณ์สำรวจความคิดเห็นภาคประชาชนในโครงการต่าง ๆ ซึ่งอาจจะทำให้ล่าช้าไปบ้าง ช่วงนี้รัฐบาลจึงหันไปให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโดยภาคเอกชนมากขึ้น ทั้งภาคบริการ การท่องเที่ยว โดยจะเห็นว่าค่าเงินบาทได้กลับมาสู่ระดับที่เหมาะสมพอควรแล้ว
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า จากล่าสุดที่ได้พูดคุยกับธุรกิจทั้งสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พบว่าการส่งออกอาหารยังต้องให้ความสำคัญที่จะผลักดันให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัว นอกจากนั้น ยังต้องพึ่งพาความสมดุลในประเทศ ส่งเสริมกำลังซื้อ เพิ่มความเชื่อมั่นภาคเอกชน ประกอบกับเร่งการใช้จ่ายภาครัฐ
ต่อข้อห่วงใยเกี่ยวกับระดับหนี้สาธารณะ นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เนื่องจากยังไม่ได้เริ่มมีการใช้เงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ก็จะไม่มีผลต่อระดับหนี้
นายกิตติรัตน์ กล่าวอีกว่า อยากร้องขอให้ฝ่ายค้านอย่านำเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นเกมทางการเมือง เนื่องจากเศรษฐกิจเป็นเรื่องของความมั่นใจ หากนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็จะทำลายความมั่นใจและเศรษฐกิจในภาพรวมจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันว่าในปีนี้การลงทุนของภาคเอกชนยังขยายตัวได้เป็นตัวเลข 2 หลักและยังมีสัญญาณที่ดี ทำให้เชื่อมั่นว่าเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ 4.0-4.5% ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ยอมรับว่าการใช้จ่ายของภาครัฐยังเป็นกลไกที่สำคัญของปีนี้ แต่ก็กังวลว่าหากการทำโครงการของรัฐบาลยังเดินหน้าไม่ได้ก็อาจจะทำให้ GDP เติบโตช้าลงได้