ซีพี มองจีนชะลอแต่ยังโต มีโอกาสให้ลงทุน-แนะไทยศึกษาโครงสร้างศก.เป็นตัวอย่าง

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 12, 2013 15:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวในงานมุมเศรษฐกิจกับซีพี"จับตาเศรษฐกิจจีนภายใต้ผู้นำรุ่นใหม่"ว่า เศรษฐกิจจีนช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงมีการเติบโตได้ประมาณ 7% เนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้จีนมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ที่เข้มแข็งราว 7.7% ซึ่งขับเคลื่อนโดย 3 ภาคธุรกิจใหญ่ ได้แก่ ภาคการเกษตรที่เติบโตประมาณ 3.4% ภาคอุตสาหกรรมเติบโต 7.8% และภาคการบริการโตประมาณ 8.3%

ขณะที่การส่งออกขยายตัว 10.4% มูลค่าการส่งออกราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการนำเข้าขยายตัวประมาณ 6.7% หรือมูลค่าการนำเข้าประมาณ 9.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่เงินออมในประเทศขยายตัวค่อนข้างมาก โดยในไตรมาสแรกมีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้ประชากรของจีนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 8,015 หยวนต่อคน ซึ่งถือเป็นอัตราที่เข้มแข็งและเชื่อว่ารายได้ต่อหัวของประชากรจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายธนากร กล่าวว่า การที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตราชะลอลงเหลือ 7.7% จากก่อนหน้านี้เติบโตมากกว่า 10% มองว่าเป็นเรื่องปกติเพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงมากและมีการเติบโตเต็มที่ การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เมื่อผู้นำคนใหม่ของจีนมีการออกกฎเหล็ก 8 ข้อเพื่อควบคุมการก่อหนี้ภาคครัวเรือน ภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลงถึง 5% ก็ปรากฎว่าประสบความสำเร็จในการดูแลอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ค.56 ให้ลดลงเหลือเพียง 2.1% ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ 2.4%

ขณะที่รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าหมายจะมีการดูแลเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็งในทุกภาคส่วน ลดความร้อนแรงลงแต่มีความเสถียรภาพมากขึ้น โดยคาดว่ารัฐบาลจีนยังมีความต้องการรอให้ GDP ขยายตัวเพียง 7% ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพมากกว่า

ส่วนการท่องเที่ยวจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ หลังจากรัฐบาลจีนมีรายได้การท่องเที่ยวถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนยังมีการผลักดันและสนับสนุนให้นักลงทุนจีนหันไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่ขยายออกไปลงทุนในต่างประเทศกว่า 200 โครงการ

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจจีนจะมีการขยายตัวที่ชะลอตัวลง แต่เศรษฐกิจจีนก็มีขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 10 เท่า และมีมูลค่า GDP สูงถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โอกาสในการทำธุรกิจในประเทศจีนของนักลงทุนไทยยังมีอีกมาก ซึ่งรัฐบาลจีนจะเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ รักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การศึกษา การแพทย์ และเทคโนโลยี แต่ต้องเลือกเมืองเข้าไปลงทุนให้ดี โดยแนะนำการลงทุนในเมืองลัวหยาง เซี่ยเหมิน เซิ่นเจิ้น และจูไห่ ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูง

ทั้งนี้ เมืองลัวหยางนับว่าเป็นเมืองใหม่ที่ประเทศจีนได้มีการเร่งการพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน โดยทางเครือซีพีเข้าไปลงทุนในการตั้งศูนย์การค้าและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นคอนโดมิเนียม และศูนย์ราชการที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะโครงการพัฒนาอสังหาฯ ต้องใช้ระยะเวลาในการคืนทุนนานกว่า 10 ปี ทำให้เอกชนจีนไม่สนใจลงทุนในครั้งนี้ แต่ทางเครือซีพีมองว่าเมืองใหม่แห่งนี้ยังขาดศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรม และคอนโดมิเนียม จึงได้เข้าไปลงทุนในเมืองดังกล่าว

นายธนากร กล่าวว่า ประเทศไทยควรมีการเข้าไปศึกษาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศจีนที่มีการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เน้นสร้างบุคคลากรที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานให้กระจายตัวไปตามจังหวัดต่างๆ โดยน่าจะมีการขยายไปในจังหวัดหลัก เช่น นครราชสีมา สระบุรี ชลบุรี และระยอง ไม่ใช่เป็นภาพของการกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯเท่านั้น เพื่อที่จะกระจายความเจริญให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นการรองรับการลงทุนในอนาคต

ส่วนมาตรการของภาครัฐมองว่าควรมีการกระตุ้นทั้งการบริโภคปและมีการลดต้นทุนการผลิต เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันให้เอกชนไทย ทั้งนี้ในระยะเวลา 5-10 ปี ต่อจากนี้ ประเทศจีนยังเป็นประเทศหลักที่เครือเจริญโภคภัณฑ์จะเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของจีนยังมีอยู่มาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ