แต่ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้นน่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศผู้นำเข้าหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป และจีน ที่ยังฟื้นตัวช้าหรือยังทรงตัวอยู่ จึงยังคงทำให้มีปริมาณสต็อกยางเก่าค้างอยู่ ขณะที่ในส่วนของสต็อกภายในประเทศที่ยังไม่ทราบถึงปริมาณที่ได้ชัดก็ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดเพื่อตรวจสอบปริมาณยางในสต็อกโดยเร่งด่วนแล้วรวมถึงมาตรการในการระบายสต็อกยางจะเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันต่อไป
อย่างไรก็ตาม แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางที่กระทรวงเกษตรฯ จะเข้ามาดำเนินการเป็นอันดับแรก คือ การคิดต้นทุนการผลิตยางที่ชัดเจน เพื่อให้ราคายางพารามีเสถียรภาพที่แท้จริงเป็นตามกลไกตลาด ซึ่งหากความต้องการของตลาดมากกว่าปริมาณการผลิตราคายางก็อาจจะสูงถึง 150 บาท/กก.ก็เป็นได้ "ถ้าเรายังติดประเด็นที่การกำหนดราคายางเป็นตัวตั้ง โดยไม่นำปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกมาพิจารณาจะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาด้านราคาได้ แต่กลับจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้น ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันหาข้อเท็จจริงให้ได้ว่าต้นทุนของการผลิตยางอยู่ที่ไหนแล้วราคาที่เกษตรกรอยู่ได้เป็นเท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกันอย่างจริงจังโดยมีเกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งในด้านการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะการส่งเสริมการแปรรูปยางภายในประเทศ
ทั้งที่ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมในหลายๆ ด้านที่น่าจะมีการลงทุนด้านการแปรรูปยางในประเทศ แต่บริษัทใหญ่ๆ กลับไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกรที่จะร่วมกันพัฒนาตัวเอง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต ผลักดันตลาดส่งออก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยางพาราของอาเซียนตามยุทธศาสตร์ยางที่กำหนดไว้ให้ได้" นายยุคล กล่าว