ปัจจัยแรก ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักประชานิยม ซึ่งในช่วงหลังจะพบว่าพรรคการเมืองใช้นโยบายหาเสียงเลือกตั้งโดยเน้นประชานิยมเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็นการเสนอสวัสดิการให้เกินความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน และเป็นนโยบายแบบปลายเปิดที่ยากจะประเมินความเสียหายในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรก หรือนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น
อีกทั้งนโยบายประชานิยมเหล่านี้ยังเป็นการเพิ่มภาระรายจ่ายประจำของงบประมาณในแต่ละปีให้เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องไปลดทอนงบรายจ่ายในส่วนที่จำเป็นลง โดยเฉพาะงบรายจ่ายเพื่อการลงทุน และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้เม็ดเงินนอกงบประมาณด้วยการกู้เงินมาใช้เพื่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท
ปัจจัยที่สอง ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยและประเทศไทยที่หากเทียบกับประเทศในอาเซียนแล้ว จะพบว่าภาคธุรกิจไทยมีความสามารถทางการแข่งขันลดลงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเมื่อภาคธุรกิจมีความสามารถทางการแข่งขันลดลง ย่อมจะมีผลต่อการทำรายได้ของธุรกิจและมีผลมาถึงการจ่ายภาษีให้แก่ภาครัฐด้วย
ปัจจัยที่สาม การเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุ ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว โดยปัจจุบันมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีคิดเป็น 10% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 25% ในอีก 17 ปีข้างหน้า ซึ่งการเป็นสังคมผู้สูงอายุจะทำให้ภาครัฐมีรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศ และส่งผลกระทบต่อการออมของภาคครัวเรือนที่จะต้องนำเงินไปใช้เพื่อการดูแลรักษาผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยมากขึ้น ทำให้ลดปริมาณเงินออม และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็จะลดลงตามไปด้วย
ปัจจัยที่สี่ ประสิทธิภาพของผู้นำทางประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กำหนดนโยบายการบริหารประเทศ ตลอดจนนักการเมือง และข้าราชการที่ควรต้องมีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัสน์สามารถมองอนาคตและวางแผนประเทศในระยะไกล กล้าที่จะสื่อสารออกไปได้หากเห็นการใช้นโยบายที่ไม่ถูกต้อง หรือส่อว่าจะมีการทุจริตคอรัปชั่น แต่จากปัจจุบันบทบาทของข้าราชการถูกลดทอนลง มีการเข้ามาแทรกแซงจากภาคการเมือง รวมทั้งแนวทางที่ใช้สำหรับการดูแลปัญหาเศรษฐกิจของประเทศยังเป็นเพียงแค่การมองในระยะสั้นๆ โดยเป็นเพียงการให้ความสำคัญกับมาตรการเศรษฐกิจมากกว่านโยบายเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่ห้า การสร้างภูมิคุ้มกันหรือการบริหารความเสี่ยง โดยในท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ไว้หลายแนวทางเลือก ซึ่งเป็นการเผื่อไว้หากเกิดปรากฎการณ์ลูกโซ่ที่อาจจะมีผลกระทบจาก senario หนึ่งไปยังอีก senario หนึ่ง แต่ขณะนี้พบว่ายังไม่ค่อยมีการดำเนินการในลักษณะนี้มากนัก
"ถ้าดูจากหนี้สาธารณะตอนนี้ไม่น่ากลัว เรายังไม่มีปัญหาหน้าผาการคลัง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง เพราะปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวที่ทำให้อนาคตเราอาจเดินลงจากเขาไปเรื่อยๆ และลงไปสู่เหวโดยไม่รู้ตัว" นายวิรไท กล่าว