กลุ่มที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ การบริการและสาธารณูปโภค ตามด้วยกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วน โลหะ เครื่องจักร และอุตสาหกรรมการเกษตร
สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2556 มีโครงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศยื่นขอรับส่งเสริมจำนวน 619 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 279,000 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนใกล้เคียงกับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในช่วง 6 เดือนของปี 2555 ที่ผ่านมา
รมว.อุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนได้เดินทางไปโรดโชว์ที่เยอรมนี พบว่ามีนักลงทุน 2 รายสนใจอยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือ บริษัท ลีโอนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตสายไฟในยานยนต์ อากาศยาน รถไฟความเร็วสูง เนื่องจากเห็นว่าไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ ขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูล และหากบริษัทดังกล่าวตัดสินใจลงทุน มูลค่าการลงทุนน่าจะอยู่ในระดับ 1 พันล้านบาท
ส่วนอีกบริษัท คือ บริษัท ซีเมนส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตตู้รถไฟฟ้า คาดว่าจะรอดูความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการ 2 ล้านล้านบาทที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกฎหมายผ่านสภาแล้วการลงทุนจากกลุ่มซีเมนส์จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับเป้าหมายการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 9 ของโลก โดยตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลกในปี 2560 ที่ยอดผลิต 3 ล้านคัน จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 2.5 ล้านคัน
ส่วนโครงการหรือปัจจัยส่งเสริมตลาดรถยนต์ ขณะนี้กรรมการที่ศึกษาเรื่องของรถอีโคคาร์ระยะที่ 2 กำลังพิจารณาการออกหลักเกณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในเดือน ส.ค. ส่วนโครงการรถยนต์คันแรกนั้น คงจะไม่ทำต่อ ส่งผลจากโครงการนี้ในครั้งแรก เป็นความสำเร็จที่ทำให้ยอดการผลิตรถยนต์สูงขึ้นในขณะที่เกิดปัญหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 ทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว แต่ยอมรับว่า ผลจากโครงการนี้อาจมีปัญหาอยู่บ้างแต่หากเปรียบเทียบแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
สำหรับปัจจัยการเมือง ยอมรับว่าปัญหาการเมืองเกิดขึ้นในทุกประเทศ แต่เชื่อว่ารัฐบาลนี้พยายามจะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาการเมืองจนส่งผลกระทบต่อความสงบของบ้านเมืองเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวถึงแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค. — ธ.ค. 56) ว่า ยอดขอรับส่งเสริมตลอดทั้งปี 2556 จะยังมีมูลค่าเงินลงทุนตามเป้าหมายคือ 1 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุน มี 4 เรื่อง คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาด โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน, ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและอัตราจ้างในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น, อัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสกุลดอลลาร์สหรัฐที่ส่งผลให้เงินทุนไหลออกและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในไทยเพิ่มสูงขึ้นตาม, อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง และ ตลาดสินค้าหลายประเภทมีแนวโน้มชะลอตัวลงโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์
"เป้าหมายครึ่งปีหลังคาดว่ายังมีการลงทุนต่อเนื่อง อยู่ในภาวะที่ดี แต่การเติบโตอาจไม่เท่าครึ่งปีแรก"นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ BOI กล่าว