ดังนั้นการส่งออกในปีนี้อาจขยายตัวได้เพียงใกล้เคียงกับการส่งออกในปี 55 ที่ผ่านมา ที่เติบโตราว 3% ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าทุกฝ่ายคงต้องทำงานหนักร่วมกันมากขึ้น
“ที่อยากให้มูลค่าส่งออกในแต่ละเดือนเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาทยังเหนื่อย เพราะคู่ค้าและภาวะเศรษฐกิจของเขาก็เป็นที่ทราบกันดี เราเคยหวังว่าจะดีขึ้นแต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาด ซึ่งส่งผลมายังการส่งออกของไทยอย่างที่เห็น...การทำให้ได้ตามเป้า 7-7.5% คงจะต้องทบทวนกันใหม่" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะใช้เวลาในการประเมินและติดตามสถานการณ์ส่งออกโดยรวมอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าอีกประมาณ 2 เดือน หรือภายในไตรมาส 3/56 จะมีการทบทวนเป้าหมายการส่งออกใหม่อีกครั้ง
ด้านนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากที่ได้หารือกับทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ได้ประเมินว่า การส่งออกของไทยในปีนี้คงไม่สามารถทำได้ตามเป้า 7-7.5%ที่ตั้งไว้ แต่คาดว่าจะทำได้ราว 6-6.5% ซึ่งในระหว่างนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งหารือกับภาคเอกชนผู้ส่งออกของไทย เพื่อหามาตรการในลักษณะที่เข้าถึงผู้ซื้อ และตรงกับความต้องการของผู้ซื้อมากขึ้น โดยคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนเรื่องมาตรการที่จะนำมาใช้กับการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้
“เรากำลังหารือกับภาคเอกชน คงจะเป็นมาตรการที่เข้าถึงตัวผู้ซื้อมากขึ้น เช่น ผู้นำเข้า ผู้กระจายสินค้า จะเชื่อมผู้ซื้อให้ตรงตัว โดยนำสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น คาดว่าสัปดาห์หน้าคงประกาศได้" อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว
อย่างไรก็ดี เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการส่งออกไทยในช่วงนี้แล้ว เนื่องจากเงินบาทได้อ่อนค่าลงมาจากช่วงต้นปี ซึ่งการส่งออกของไทยในช่วงนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากตลาดผู้นำเข้าที่ซบเซา และอยู่ในภาวะที่ถดถอย โดยเฉพาะตลาดจีนที่เป็นตลาดใหญ่รองรับสินค้าและบริการจากไทยในสัดส่วนที่สูงมากในแต่ละปี