นักวิชาการแนะรัฐบาลรอบคอบ หลังพบความไม่พร้อมในหลายโครงการย่อยพ.ร.บ.2ล้านลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday July 28, 2013 15:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม ราชดำเนินเสวนา “เงินกู้ 2 ล้านล้าน วิกฤติหรือโอกาสประเทศไทย?" ที่ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมเสวนา 3 คน คือ รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร. สุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)

โดยรองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ กล่าวว่า ร่างพระราชบัญัติ(พ.ร.บ) เงินกู้ 2 ล้านล้าน ควรมีเนื้อหาและกระบวนการเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ว่าขัดต่อกฎหมายที่กำหนดหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยมองว่าขัดรัฐธรรมนูญ คือ ม.169 การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้ คือ ต้องกำหนดไว้ว่าเป็นงบประมาณรายจ่าย เว้นแต่เป็นกรณีเร่งด่วน พร้อมทั้งขัดต่อเนื้อหากฏหมายเพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่าการที่ใช้อำนาจรัฐต้องเป็นไปตามหลักความจำเป็น ไม่เกิดผลกระทบ และเป็นไปตามหลักพอสมควร ซึ่งมาตรการตามกฎหมายจะต้องกระทบและเป็นภาระประชาชนน้อยที่สุด หากกระทบประชาชนถือว่าไม่ใช่มาตรการที่จำเป็น

ทั้งนี้การทำรถไฟความเร็วสูงมีทางเลือกอื่นหรือไม่ที่จะเกิดภาระน้อยกว่านี้ เช่นการร่วมลงทุนหรือการสัมปทาน จึงมองว่าไม่เป็นไปหลักอันพอสมควร และขัดกับหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรา 57 วรรค 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเวียนคืนที่ดิน และส่งผลกระทบต่อประชาชน รัฐควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่ไม่มีการดำเนินการ รวมทั้งขัด ตามมาตรา 67 วรรค 2 เพราะเป็นโครงการระดับชาติ เชื่อว่าผ่านสภาผู้แทนราษฎร แต่จะขัดเรื่องกฏหมายรัฐธรรมนูญ แต่หากต้องดำเนินโครงการควรแยกหลายโครงการออกจากกัน เพื่อให้ดำเนินโครงการที่พร้อมต่อไปได้

ด้าน ดร.สกนธ์ วรัญญูวัฒนา กล่าวว่า มองในเชิงเศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ โครงการสองล้านล้านมีความจำเป็น และคงไม่มีใครปฎิเสธที่จะไม่ต้องการ แต่การได้มาของโครงการนี้ต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งกระบวนการพิจารณาควรกว้างกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟความเร็วสูง รถไฟเลนด์คู่ และมองว่าการพิจารณาโครงการยังขาดแนวทางการพัฒนาประเทศ ตามพื้นที่ต่างๆ และประโยชน์ที่จะได้รับ หากปล่อยให้โครงการเดินหน้าโดยไม่มีการพิจารณาในเรื่องนี้จะส่งผลต่อประเทศในระยะยาว จากการศึกษาพบว่ามีช่องว่างที่จะใช้งบประมาณของประเทศในการสนับสนุนโครงการปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้าน จึงมองว่าทำไมต้องมีการดำเนินโครงการโดยใช้เงินนอกงบประมาณ

อย่างไรก็ตามมองว่างบประมาณรายจ่ายประจำของประเทศมีกว่าร้อยละ80 งบประมาณการลงทุนมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น อีกทั้งมองว่าทำไมไม่ร่วมกับเอกชนในการดำเนินโครงการ เพื่อแบ่งเบาภาระจากการลงทุนจนเป็นภาระของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงคมนาคมเพียงหน่วยงานเดียว จากที่มีเงินงบประมาณทุกปีกว่า9 หมื่นล้าน หากเพิ่มเรื่องนี้เข้าไป จะทำให้มีการบริหารเงินเพิ่มขึ้น จึงมองว่ากระทรวงคมนาคมมีศักยภาพในการบริหารเงินงบประมาณหรือไม่ และโครงสร้างนี้มีความคุ้มค่าหรือไม่ ต้องมีการติดตามประเมินผลของโครงการด้วย เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบค่อยดำเนินโครงการ

ดร. สุเมธ องกิตติกุล กล่าวว่า พ.ร.บ. เงินกู้2 ล้านล้าน เป็นการนำหลายอย่างมารวมไว้ในโครงการนี้ จึงเกิดการตั้งข้อสงสัยเกิดขึ้น ดังนั้นต้องดูรายละเอียดของ พ.ร.บ.เงินกู้2ล้านๆอย่างรอบคอบ ซึ่งกว่าร้อยละ80 เป็นงบประมาณที่ใช้ดำเนินการของระบบราง ซึ่งมีหลายโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการและยังไม่ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ รวมไปถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งนี้ในโครงการดังกล่าวจากยอดเงินทั้งหมด มีโครงการที่พร้อมดำเนินการในเงินงบประมาณเพียง 4-5แสนล้านเท่านั้น อีกทั้งมองว่ามีหลายโครงการที่พร้อมและควรสนับสนุนและมีหลายโครงการที่ไม่ควรสนับสนุน รัฐบาลควรปรับจำนวนเงินงบประมาณลงหรือไม่ การทำรถไฟแตกต่างจากการทำถนน เพราะถนนเป็นการทำเพื่อสาธารณะไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย แต่การทำรถไฟเป็นการลงทุนที่ต้องมีการบริหารจัดการให้ดำเนินต่อไปได้และหากประชาชนจะใช้บริการก็ต้องจ่ายค่าบริการด้วย

อย่างไรก็ตามการดำเนินโครงการรถไฟแน่นอนว่าจะเกิดหนี้จำนวนมากในทุกประเทศ แต่ในต่างประเทศพบว่าเป็นปัญหาจึงมีการปฎิรูปโครงสร้างการลงทุนด้านรถไฟ และประเทศไทยต้องใช้เวลาสักระยะในการปฏิรูปเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และความคุ้มค่าด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ