ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เลี้ยงหมูยืนยันจะไม่ปรับขึ้นราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มที่ปัจจุบันราคากก.ละ 72 บาท ซึ่งจะทำให้หมูหน้าเขียงไม่ปรับราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่ากก.ละ 130 บาท นอกจากนี้ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ และผู้ประกอบการตลาดสด ต่างยืนยันจะดูแลราคาจำหน่ายหมูเนื้อแดงในพื้นที่ที่รับผิดชอบไม่ให้เกินจากราคาที่กำหนดเช่นเดียวกัน
ส่วนการรักษาเสถียรภาพราคาเนื้อสุกรในระยะยาวนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้รับข้อเสนอของสมาคมฯ ที่ให้จัดตั้งกองทุนดูแลราคาหมูทั้งระบบ โดยใช้เงินภาษีที่เก็บได้จากการนำเข้ากากถั่วเหลืองที่ 2% หรือประมาณปีละ 800-900 ล้านบาทมาใช้ในการจัดตั้งกองทุน โดยจะหารือกับกระทรวงการคลังถึงความเป็นไปได้ก่อน ซึ่งการตั้งกองทุนฯ ดังกล่าวขึ้นจะช่วยดูแลราคาเนื้อหมูได้ เช่น หากมีราคาตกต่ำก็ใช้เงินซื้อผลผลิตส่วนเกินเก็บไว้ หรือหากหมูแพงก็นำผลผลิตที่ซื้อเก็บไว้ออกมาจำหน่ายในราคาถูกให้กับประชาชนได้
ด้านนายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า สมาคมฯ และสมาชิกยืนยันจะไม่ปรับขึ้นราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มจากปัจจุบันอยู่ที่กก.ละ 72 บาท เพื่อดึงให้ราคาหมูเนื้อแดงจำหน่ายได้ที่ กก.ละ 130 บาทไปจนกว่าจะถึงเทศกาลสารทจีนในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า แม้ว่าขณะนี้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นมากจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และขณะนี้ผู้เลี้ยงจะมีกำไรจากการจำหน่ายหมูเป็นเพียงตัวละ 100 บาท จากปีก่อนที่ขาดทุนถึงตัวละ 600 บาท