อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีเป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าไตรมาสแรกของปี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริหาร นักธุรกิจที่มีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก
ปัจจัยสำคัญที่สุด 5 อันดับแรกที่ผู้บริหาร เห็นว่า มีผลต่อการทำธุรกิจในเดือนก.ค.-ส.ค. คือ สภาพเศรษฐกิจไทยได้ 4.3 คะแนน ความต้องการของตลาดที่ลดลงได้ 4.2 คะแนน สภาพเศรษฐกิจโลกได้ 4.1 คะแนนต้นทุนวัตถุดิบได้ 3.9 คะแนน และต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น ได้ 3.8 คะแนน
การที่สภาพเศรษฐกิจไทยได้รับการประเมินว่าเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจมากที่สุด เนื่องจากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจน ขณะที่ค่าครองชีพและหนี้สินภาคครัวเรือนกลับสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการของตลาดลดลง เมื่อประกอบกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวอยู่ จึงเป็นสัญญาณด้วยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ธุรกิจจะต้องใช้ความพยายามในการหารายได้มากขึ้น และต้องประเมินต้นทุนในการทำธุรกิจตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อสภาพคล่องและรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
สำหรับดัชนีด้านการทำธุรกิจมี 4 ด้านด้วยกัน คือ ดัชนีด้านรายได้ ดัชนีด้านต้นทุน ดัชนีด้านสภาพคล่อง และดัชนีด้านการจ้างงานนั้น จากผลการสำรวจ ดัชนีด้านต้นทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยในเดือนก.ค. ดัชนีต้นทุนมีค่าเพิ่มขึ้นเป็น 57 จุด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 59 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ดัชนีด้านรายได้ในเดือนก.ค.ได้ปรับลดลงมาเป็น 1 จุด และคาดว่าอยู่ในระดับเดียวกันในเดือนส.ค.
การที่ดัชนีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีรายได้ลดลง ส่งผลให้ดัชนีสภาพคล่องยังคงมีค่าติดลบและมีแนวโน้มที่จะติดลบต่อไป โดยติดลบเพิ่มขึ้นเป็น -8 จุดในเดือนก.ค.และคาดว่าติดลบน้อยลงเป็น -5 จุดในเดือนส.ค. ส่วนดัชนีการจ้างงานในเดือนก.ค.มีค่า 1 จุด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 จุดในเดือนต่อไป