สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวหลังราคาปรับตัวลดลงติดต่อกัน อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำกลับสวนทางความต้องการที่จะซื้อทองคำในเดือนส.ค.นี้ ของกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะสะท้อนถึงความไม่แน่ใจของการฟื้นตัว
สำหรับดัชนีแยกตามกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น โดยระดับความเชื่อมั่นอยู่เหนือ 50 จุดเล็กน้อย ทั้งกลุ่มนักลงทุนและกลุ่มผู้ค้าทองคำ ซึ่งค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 52.78 จุด และ 57.36 จุดตามลำดับ ด้านดัชนีความเชื่อมั่นในระยะ 3 เดือนข้างหน้า จะมีการฟื้นตัวเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 55.47 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 10.86 จุด หรือ 24.19% สะท้อนทัศนคติเชิงบวกในระยะกลาง
ปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าจะมีผลต่อทิศทางราคาทองคำในเดือนส.ค.นี้ ได้แก่ การชะลอมาตรการ QE ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินบาท โดยให้น้ำหนักกับการชะลอ QE สูงสุดอยู่ที่ 49.72% นอกจากนี้เมื่อสอบถามความต้องการซื้อทองคำในช่วงถัดไป พบว่า 30.93% ของกลุ่มตัวอย่าง คาดว่าจะซื้อทองคำ ขณะที่ 34.81% คาดว่าจะไม่ซื้อ และ 34.26% ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่ แต่เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเชิงบวกต่อราคามากขึ้น แต่ยังไม่แน่ใจต่อการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำ ทำให้สัดส่วนต่อการซื้อมีการกระจายตัวและไม่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับดัชนี
นายภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ผู้ค้าทองคำมีความคิดเห็นว่าราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเดือนส.ค.โดยรวมน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150-1,420 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ โดยกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาต่ำสุดในเดือนส.ค.น่าจะอยู่ในช่วง 1,226-1,250 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่กรอบสูงสุดอยู่ที่ 1,226-1,350 ดอลลาร์/ออนซ์ (จากกลุ่มตัวอย่างของผู้ค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 11 ตัวอย่าง)
ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ (ความบริสุทธ์ 96.5%) กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวระหว่าง 17,000-21,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ และกรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดให้น้ำหนักระหว่าง 18,000-18,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ และกรอบการเคลื่อนไหวสูงสุดจะอยู่ที่ 20,000-20,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ โดยมีประเด็นเรื่องการชะลอมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ เป็นแรงกดดันสำคัญ ขณะที่ความผันผวนของค่าเงินบาทเชื่อว่าจะยังกระทบต่อราคาทองคำในประเทศเดือนนี้ นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องติดตามการขายกองทุนขนาดใหญ่ การเก็งกำไรในตลาด และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน