ดังนั้นที่ประชุมจึงขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้ช่วยลดการจำหน่ายก๊าซ LPG ให้แก่อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และให้โรงงานปิโตรเคมีพิจารณาเรื่องการใช้แนฟทาเพื่อทดแทน LPG รวมทั้งให้กลุ่มโรงกลั่น พิจารณาปรับเปลี่ยนน้ำมันดิบให้ใช้ประเภทที่สามารถผลิต LPG ได้เพิ่มขึ้น ซึ่งภาคเอกชนจะกลับไปพิจารณารายละเอียดตามแนวทางดังกล่าวก่อนส่งข้อมูลกลับมาที่กระทรวงพลังงานในวันที่ 19 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ดียืนยันว่าก๊าซ LPG จะไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ปตท.จะมีการนำเข้า LPG เพิ่มขั้นต่ำ 4 หมื่นตัน/เดือน และลดการจัดส่งให้กลุ่มปิโตรเคมี ประมาณ 3 หมื่นตัน/เดือน แต่จะมีผลกระทบทำให้มีการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่ออุดหนุนส่วนต่างราคานำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันราคา LPG บวกค่าขนส่ง อยู่ที่ประมาณ 900 ดอลลาร์/ตัน ในขณะที่ราคาในประเทศอยู่ที่ 333 ดอลลาร์/ตัน ดังนั้นกองทุนฯ จะจ่ายส่วนต่างประมาณ 567 ดอลลาร์/ตัน
ด้านนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท.(PTT) และในฐานะประธานกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 แห่ง พร้อมให้ความร่วมมือแก้วิกฤติของประเทศ โดยจะพิจารณาปรับเปลี่ยนน้ำมันดิบเพื่อให้ผลิต LPG เพิ่มขึ้น แต่ต้องใช้เวลา 2 เดือนในการดำเนินการ ส่วนจะผลิต LPG ได้มากน้อยเพียงใด จะต้องพิจารณาตัวเลขอีกครั้ง
สำหรับผลกระทบต่อรายได้ของ ปตท.มี 2 ส่วน คือ ด้านทรัพย์สินและโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งต้องประเมินว่าจะกระทบรายได้จากการหยุดเดินเครื่อง 3-5 เดือนมากน้อยขนาดไหน โดยทั้ง ปตท.และบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC) มีประกันอุบัติเหตุและประกันการสูญเสียรายได้ ซึ่งน่าจะครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ยอมรับว่า เป็นโชคร้ายของ ปตท.เพราะการที่โรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 5 นั้นมีระบบป้องกันฟ้าผ่าเป็นอย่างดี แต่วันที่เกิดเหตุฟ้าผ่าลงมาถึงสองครั้ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก จึงหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ขณะนี้ ปตท.กำลังเร่งพิจารณาว่าจะซ่อมแซมให้โรงแยกก๊าซฯ กลับมาเดินเครื่องผลิตเร็วที่สุด ส่วนก๊าซฯ ที่ส่งโรงไฟฟ้าจะไม่ขาดแคลนแน่นอน เพราะสามารถส่งตรงทางท่อจากแหล่งผลิตได้ ส่วนผลกระทบปิโตรเคมี ขณะนี้กำลังพิจารณาในภาพรวมว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร