รมว.คลัง มองบาทอ่อนส่งผลดีต่อส่งออก เชื่อไม่ต้องมีมาตรการกระตุ้นศก.เพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 22, 2013 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นรายไตรมาสต่อไตรมาส เพราะเป็นเพียงข้อมูลประกอบเท่านั้นไม่ใช่ข้อมูลที่สำคัญ แต่ตนให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบปีต่อปีมากกว่า ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบไตรมาส 2/56 กับไตรมาส 2/55 แล้วถือว่าเศรษฐกิจยังเติบโตเป็นบวกมากกว่า
"ผมยังไม่เชื่อว่าถดถอย ยกเว้นว่าไปดูทวีตเตอร์ของอดีตรัฐมนตรีมากๆ ใจอาจจะเสียได้" นายกิตติรัตน์ กล่าว

ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนั้น รัฐบาลจะใช้แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยยึดตามมติครม.เมื่อวันที่ 6 ส.ค.56 โดยไม่จำเป็นต้องหามาตรการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอีก พร้อมยืนยันว่ามาตรการทั้งหมดมีความชัดเจน ครอบคลุม และไม่เป็นประชานิยม และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกหลักของประเทศผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาวมากกว่า

ทั้งนี้ ไม่กังวลต่อกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ(พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายกันเต็มที่

"เรื่องโครงการ 2 ล้านล้าน เราได้นำเสนอต่อสภาฯ ถ้าจะใช้เวลากี่วันก็ดำเนินการไป ส่วนจะเข้าสู่กระบวนการวุฒิสภา ก็ให้ดำเนินการต่อไป รวมถึงหากจะมีใครไปยื่นในกระบวนการอื่น เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดำเนินการไป" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ

สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณในปี 57 นั้น เชื่อว่าจะสามารถเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 57 ได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากการมีประสบการณ์ในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วตั้งแต่ปี 56 และแม้ว่าจะยังไม่ได้ผลดีจนน่าพอใจแต่ก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้น

ส่วนกรณีที่เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าแตะระดับ 32.00 บาท/ดอลลาร์นั้น นายกิตติรัตน์ ถือว่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ และจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งจากขณะนี้เงินทุนสำรองในประเทศที่มีอยู่ถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงสภาพคล่องในระบบอีก 3 ล้านล้านบาทบาทนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)น่าจะนำไปช่วยดูแลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงได้

ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในอียิปต์ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้น นายกิตติรัตน์ ระบุว่า ขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสถานะเป็นบวก ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันในประเทศได้จนกว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ