"ผมยังไม่เชื่อว่าถดถอย ยกเว้นว่าไปดูทวีตเตอร์ของอดีตรัฐมนตรีมากๆ ใจอาจจะเสียได้" นายกิตติรัตน์ กล่าว
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนั้น รัฐบาลจะใช้แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยยึดตามมติครม.เมื่อวันที่ 6 ส.ค.56 โดยไม่จำเป็นต้องหามาตรการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมอีก พร้อมยืนยันว่ามาตรการทั้งหมดมีความชัดเจน ครอบคลุม และไม่เป็นประชานิยม และรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างกลไกหลักของประเทศผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาวมากกว่า
ทั้งนี้ ไม่กังวลต่อกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ(พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลจะเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายกันเต็มที่
"เรื่องโครงการ 2 ล้านล้าน เราได้นำเสนอต่อสภาฯ ถ้าจะใช้เวลากี่วันก็ดำเนินการไป ส่วนจะเข้าสู่กระบวนการวุฒิสภา ก็ให้ดำเนินการต่อไป รวมถึงหากจะมีใครไปยื่นในกระบวนการอื่น เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ดำเนินการไป" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณในปี 57 นั้น เชื่อว่าจะสามารถเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 57 ได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากการมีประสบการณ์ในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วตั้งแต่ปี 56 และแม้ว่าจะยังไม่ได้ผลดีจนน่าพอใจแต่ก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้น
ส่วนกรณีที่เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าแตะระดับ 32.00 บาท/ดอลลาร์นั้น นายกิตติรัตน์ ถือว่าเงินบาทยังมีเสถียรภาพ และจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งจากขณะนี้เงินทุนสำรองในประเทศที่มีอยู่ถึง 1.7 แสนล้านดอลลาร์ รวมถึงสภาพคล่องในระบบอีก 3 ล้านล้านบาทบาทนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)น่าจะนำไปช่วยดูแลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงได้
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในอียิปต์ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้น นายกิตติรัตน์ ระบุว่า ขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสถานะเป็นบวก ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสามารถประคับประคองราคาน้ำมันในประเทศได้จนกว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ