โดยขณะนี้ถือว่าเศรษฐกิจไทยมีความสมดุลไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจีน, อินเดีย และสิงคโปร์ แต่ควรสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งด้วยตัวเองผ่านการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา(R&D) และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้มากขึ้น รวมทั้งลงทุนการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการค้าขายชายแดนโดยเฉพาะด้านบริการขนส่ง
ส่วนในแง่ตลาดทุนนั้น การทยอยเลิกมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าสหรัฐฯ ใช้มาตรการ QE ต่อไปนานๆ จะเกิดภาวะฟองสบู่ในเอเชียรวมถึงไทย เพราะการปรับขึ้นของราคาหุ้นหรือพันธบัตรราว 80% ปรับขึ้นมาจากสภาพคล่อง อีก 20% จากการปรับโครงสร้างภายใน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยพึ่งพาเงินจาก QE สหรัฐฯ ที่ขณะนี้เริ่มชะลอและดึงเงินกลับไปแล้ว ซึ่งแม้อาจมีผลกระทบบ้างแต่จะทำให้เราแข็งแรง
พร้อมมองว่า ภาครัฐควรมีการลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนที่ต่อเนื่องโดยภาคเอกชน แต่อาจไม่ใช่การที่รัฐบาลจะเข้าไปลงทุนเองทั้งหมด โดยอาจทำในรูปแบบของการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และการฝึกทักษะแรงงาน เป็นต้น
"แม้ขณะนี้เงินทุนต่างชาติจะไหลออก แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาความเปราะบางให้กับเศรษฐกิจไทย เพราะมีเพียงบางภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ขีดความสามารถภาคการส่งออกของไทยยังปรับตัวดี แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะรัฐบาลจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม โดยต้องเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น นำร่องให้เอกชนลงทุนตาม ไม่ใช่รัฐบาลลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างยั่งยืน และจะไม่ส่งผลเสียต่อหนี้สาธารณะ แม้ว่าอัตราหนี้สาธารณะจะสูงขึ้นเกิน 60% ของจีดีพี เพราะเป็นการลงทุนที่สร้างรายได้ ทำให้เกิดการจ้างงานและผลตอบแทนเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่ใช่เป็นการลงทุนทางด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว" นายศุภชัย กล่าว