ทั้งนี้ทำให้ ทอท.ต้องประกาศปิดใช้รันเวย์ฝั่งตะวันออกเป็นเวลา 48 ชม. เพื่อซ่อมแซมและเคลื่อนย้ายเครื่องบินลำที่ประสบเหตุออกจากพื้นที่ ซึ่งคาดว่าก่อนเที่ยงของวันที่ 11 ก.ย.นี้จะสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ โดย ทอท.จะใช้เวลาซ่อมทางวิ่งประมาณ 5 ชม. ขณะที่บมจ.การบินไทย(THAI) จะใช้เวลาในการย้ายเครื่องบิน 48 ชม.
น.ต.ศิธา กล่าวว่า จากเหตุการดังกล่าวส่งผลให้มีเที่ยวบินตั้งแต่เวลาที่เกิดเหตุจนถึงเช้านี้ดีเลย์ทั้งหมด 80 ลำ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การดีเลย์เพราะต้องวนรอก่อนลงจอด 35 ลำ เฉลี่ยดีเลย์ลำละ 14 นาที และอีกส่วนเป็นการดีเลย์จากภาคพื้น 45 ลำ เฉลี่ยดีเลย์ลำละ 30 นาที
ทั้งนี้ ทางทอท.ได้แจ้งไปยังแต่ละสายการบินว่าหากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเที่ยวบินดีเลย์ก็สามารถนำเครื่องไปลงจอดที่สนามบินดอนเมือง หรือสนามบินอู่ตะเภาได้ ซึ่ง ทอท.ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารไว้แล้ว แต่เบื้องต้นพบว่าสายการบินส่วนใหญ่แจ้งความประสงค์ที่จะขอลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิตามเดิม
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าวมีทั้งหมด 14 คน โดยเช้าวันนี้สามารถออกจากรพ.ได้แล้ว 8 คน ยังเหลืออีก 6 คนที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในรพ. ซึ่งผู้โดยสารที่อาการหนักสุดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ข้อมือหัก
ด้านนายสรจักร เกษมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย(THAI) กล่าวว่า จากการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวเบื้องต้นพบว่าเกิดจากฐานล้อขัดข้องจนทำให้เครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์และเกิดประกายไฟขึ้น และยืนยันว่ากรณีดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัย แต่การบินไทยพร้อมจะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และทรัพย์สินที่เสียหายของผู้โดยสารทั้งหมด
ทั้งนี้ เครื่องบินลำดังกล่าวมีอายุการใช้งานมาแล้ว 18 ปี ได้ตรวจซ่อมใหญ่ไปเมื่อเม.ย.56 ที่ผ่านมา ขณะที่นักบินมีประสบการณ์ในการบิน 14 ปี ซึ่งนักบินและลูกเรือได้ปฏิบัติตามระเบียบการบินอย่างครบถ้วน