(เพิ่มเติม) ศูนย์วิจัยกสิกรฯลดคาดการณ์ GDP ปี 56 เหลือโต 3.5-4.0% จากเดิม 3.8-4.3%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 16, 2013 13:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 56 เหลือ 3.7% โดยมีกรอบการคาดการณ์อยู่ที่ 3.5-4.0% จากกรอบการคาดการณ์เดิมที่ 3.8-4.3% จากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องใช้ระยะเวลาการฟื้นตัวอีกสักระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในช่วงปลายปีจากเศรษฐกิจโลกที่มีการฟื้นตัว จะช่วยหนุนการส่งออกในช่วงท้ายปี

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ซึ่งในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะไม่ติดลบเหมือนกับช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่องภายในประเทศการบริโภคและการลงทุนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไตรมาส 2-ไตรมาส 3/57 เนื่องจากภาครัฐจะสามารถเริ่มลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ต่างๆได้

ทั้งนี้ คาดว่าปี 56-57 ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 50-51 โดยคาดว่าปีนี้จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และปี 57 อีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท และเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลังจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หากเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดีนักแนวโน้มเงินบาทก็ยังจะแข็งค่าอยู่ แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีขึ้นก็จะส่งผลให้มีการไหลออกของเงินจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง

ศูนย์วิจัยฯ มองว่าการส่งออกของไทยน่าจะทยอยมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่การฟื้นตัวที่ล่าช้าของการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์การส่งออกปี 56 ลงมาที่ขยายตัวเพียง 1.5% โดยมีกรอบการคาดการณ์อยู่ที่ 0.5-3.0%

นอกเหนือจากสินค้าส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างอาเซียนและจีนที่มีสัดส่วน 37%ของมูลค่าการส่งออกของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าน้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และเครื่องปรับอากาศ ธุรกิจที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่ทั้ง 3 ตลาดมีสัดส่วน 30% ก็น่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ที่ดี รวมทั้งการเจาะตลาดศักยภาพใหม่ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวหรืออิงกับกรอบการเจราจาทวิภาคี (FTA) น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตสำหรับสินค้าบางรายการด้วย

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในวันที่ 17-18 ก.ย. 56 ศูนย์วิจัยฯ คาดว่า เฟดจะเริ่มทยอยลดขนาดวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนภายใต้มาตรการ QE อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตลาดเงินและตลาดทุนโลกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก คาดว่าวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนน่าจะลดลงมาอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน จาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปัจจุบัน โดยสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดแรงงานในสหรัฐที่สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จะทำให้เฟดจะเริ่มชะลอมาตรการ QE ในการประชุม FOMC ในกลางเดือนก.ย.นี้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้เฟดจะเริ่มชะลอมาตรการ QE ในเดือนก.ย. แต่คาดว่าเฟดยังคงย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะยืนในระดับต่ำต่อไป เนื่องในช่วงอีกหลายเดือนข้างหน้าคาดว่าจะมีสัญญาณแรกของการเตรียมเข้าสู่วัฏจักรการคุมเข้มของเฟดด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นอาจจะเริ่มขึ้นในปลายปี 57 เป็นอย่างเร็ว

ส่วนค่าเงินบาทถึงแม้ว่าตลาดอาจรับรู้การชะลอมาตรการ QE ของเฟดมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์วิจัยฯ มองว่ายังต้องรับมือกับความผันผวนของค่าเงินในช่วงอีกหลายเดือนต่อจากนี้ตามสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ยังมีความผันผวนค่าเงินในช่วงต่อจากนี้หลังการปรับลดมาตรการ QE ลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ