SCB EIC มองแนวโน้มบาทอ่อนค่ากระทบทางลบอุตฯยาง-เหล็ก-ก่อสร้าง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 16, 2013 14:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 เป็นต้นมา โดยหากพิจารณาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงประมาณ 7.6% ซึ่งการอ่อนค่าลงดังกล่าวเป็นผลหลักมาจากแนวโน้มการชะลอมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2013 และแนวโน้มเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G3 ที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้ง 2 ปัจจัยทำให้เงินทุนโลกมีแนวโน้มไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่ง EIC ประเมินว่าในระยะต่อไป ภาวะเงินทุนโยกย้ายกลับสู่ประเทศพัฒนาแล้วนี้จะทำให้โอกาสที่ค่าเงินจะกลับมาแข็งค่าอย่างรวดเร็วเหมือนช่วงต้นปี 2013 จะไม่มีมากนัก

"ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างมากหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มในการลดขนาด QE ซึ่งค่าเงินที่อ่อนลงนั้นส่งผลดีและผลเสียที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคธุรกิจ" เอกสารศูนย์วิจัยฯ ระบุ

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ผักและผลไม้แปรรูป อาหารทะเลแปรรูป และอาหารทะเลกระป๋อง (ไม่รวมทูน่ากระป๋อง) ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้มีสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกที่สูงกว่า 60% และยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สินค้าดังกล่าวเป็นสัดส่วนเพียง 9% ของการส่งออกไทยทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น มีสัดส่วนวัตถุดิบนำเข้าค่อนข้างมาก ซึ่งจะไปชดเชยประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง และเหล็ก ซึ่งทั้งสองกลุ่มอุตสาหกรรมพี่งพาตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ใช้วัตถุดิบนำเข้ารวมไปถึงน้ำมันเป็นสัดส่วนที่ประมาณ 40% นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในการส่งผ่านราคา และอัตรากำไรสุทธิที่ไม่สูงมากนัก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เน้นตลาดในประเทศ และใช้วัตถุดิบนำเข้าเป็นสัดส่วนที่สูง เช่น กระดาษ เคมีภัณฑ์ และปิโตรเลียมนั้น มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเชิงลบเช่นกัน แต่ไม่น่าจะมากเท่ากับผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ยางและเหล็ก เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่ความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนค่อนข้างมาก หรือมีอัตรากำไรสุทธิในระดับสูง

สำหรับภาคบริการนั้น การก่อสร้างมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด ธุรกิจในภาคบริการส่วนใหญ่ไม่ได้พึ่งพาตลาดต่างประเทศ ดังนั้น การอ่อนค่าของเงินบาทจึงไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจเหล่านี้ ในทางกลับกัน ธุรกิจภาคบริการต้องเผชิญกับต้นทุนจากวัตถุดิบนำเข้าและน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจในกลุ่มไฟฟ้าและสาธารณูปโภค การก่อสร้าง และการขนส่งมีการพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศและน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนสูงกว่า 30% ของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ การก่อสร้างเป็นภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุด เนื่องจากมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยค่อนข้างต่ำเพียง 4.7% ส่งผลให้ธุรกิจมีความอ่อนไหวค่อนข้างมากต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของภาคท่องเที่ยวนั้น EIC ประเมินว่าผลกระทบเชิงบวกน่าจะมีไม่มากนัก ถึงแม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นผลดีต่อทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว และปริมาณการใช้จ่าย แต่ผลกระทบน่าจะมีไม่มาก เนื่องจาก ในมุมมองของนักท่องเที่ยวที่ได้ประโยชน์หลักๆ จากการอ่อนค่าของเงินบาท เช่น นักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐฯ จะใช้จ่ายส่วนใหญ่ไปกับตั๋วเครื่องบิน (Airfare) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเป็นหลัก นอกจากนี้ ประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียนซึ่งค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าไปในทางเดียวกับค่าเงินบาท อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวอาจจะได้รับผลบวกจากนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาทและค่าเครื่องบินที่ไม่สูงมากนัก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ