ทั้งนี้ ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/56 จะขยายตัวดีกว่าทุกไตรมาส แต่อาจไม่สูงเท่าไตรมาส 4/55
"การแข็งค่าของเงินบาทดังกล่าวเป็นไปตามทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และเชื่อว่าเป็นการปรับตัวของตลาดจากที่ก่อนหน้านี้ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเงินบาทได้อ่อนค่าลงมาตลอดสอดคล้องกับตลาดเงินโลก จากที่มีปฏิกิริยาต่อข่าวว่าเฟดมีความต้องการจะลดขนาดมาตรการ QE ลงถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในภาคของการจ้างงาน
...พอเฟดยังไม่ลด QE ในรอบนี้ ตอนเช้าตลาดก็ปรับตัวกลับ ทั้งสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ช่วงที่ผ่านมาอ่อนตัวไปค่อนข้างมาก รวมทั้งเงินบาท พอเช้านี้ก็ปรับตัวขึ้นมา คนก็กลับเข้ามาลงทุน แต่จะไปเยอะหรือรุนแรงแค่ไหนนั้น ระยะสั้นๆ เราเห็นมันปรับตัว ไม่ใช่เฉพาะเงินบาท แต่สกุลในภูมิภาคก็แข็งค่าขึ้นจากช่วง 2 เดือน คิดว่าน่าจะมี limit เพราะเฟดบอกว่าพยายามวางแผนทยอยลด QE แต่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และเชื่อว่าตลาดการเงินทั่วโลกต่างจับตาดูผลการประชุมเฟดในรอบเดือน ธ.ค.อีกครั้ง"ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ส่วนเงินบาทที่แข็งค่าไปแตะระดับ 31 บาทต้นๆ จะมีความสอดคล้องต่อเศรษฐกิจไทยในขณะนี้หรือไม่นั้น นายประสาร กล่าวว่า ขณะนี้เงินบาทได้ปรับตัวกลับมาแข็งค่าหลังจากที่อ่อนค่าไปถึง 32 บาทกว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งธ ปท.จะติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด หากค่าเงินบาทมีความเปลี่ยนแปลงหรือผันผวนมากเกินไปจนอาจจะส่งผลกระทบค่อนข้างแรงต่อเศรษฐกิจ ธปท.ก็พร้อมเข้าไปดูแล แต่หากเป็นเพียงการปรับตัวของตลาดในช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น ธปท.ก็คงจะปล่อยให้กลไกตลาดทำงานเอง
อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในช่วงสิ้นปีนี้เฟดจะชะลอหรือยกเลิกมาตรการ QE ในช่วงใด เพราะการทำมาตรการ QE3 มีเงื่อนไขที่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งต่างจากมาตรการ QE1 และ QE2 ที่เงื่อนไขเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกรอบปฏิทิน ซึ่งสหรัฐถือว่าได้บทเรียนแล้วหลังจากการทำ QE1 และ QE2 ที่ทำให้เศรษฐกิจฟุบไป
“เราไม่ต้องตระหนกอะไร มันเป็นการปรับตัวของตลาดเงิน มีการปรับตัวช่วงสั้นๆ ที่อาจจะมากหน่อย แต่เมือไปถึงจุดหนึ่งก็เชื่อว่าจะมีเสถียรภาพ" ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
กรณีที่เฟดยังคงมาตรการ QE3 ไว้จะเป็นการแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ฟื้นตัวจริงอย่างที่คาด และจะกระทบต่อการคาดการณ์เศรษฐกิจของทั่วโลก รวมถึงการส่งออกในระยะต่อไปหรือไม่นั้น นายประสาร กล่าวว่า โดยรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มฟื้นตัว เพียงแต่อาจไม่ใช่การฟื้นตัวที่เข้มแข็งในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น เพื่อความรอบคอบเฟดจึงประคับประคองด้วยการคงมาตรการ QE3 ไว้ก่อน
แต่จะมีผลต่อภาวะการค้าโลกและการส่งออกของไทยอย่างไรนั้น นายประสาร มองว่า โดยทั่วไปแล้วการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 4 มักจะดีกว่าไตรมาสอื่นๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติของทุกฤดูกาล ดังนั้น ในปีนี้ก็เชื่อว่าจะยังเป็นเช่นนั้น
“ปีนี้น่าจะยังเป็นอย่างนั้น ถ้าเทียบไตรมาส 3, 2, 1 แล้ว ไตรมาส 4 น่าจะยังดีกว่า ส่วนจะดีกว่าไตรมาส 4 ปีก่อนหน้าหรือไม่นั้น ไตรมาส 4 ปีที่แล้วมันพิเศษตรงที่เป็นปีของการฟื้นตัวจากน้ำท่วม มีมาตรการของภาครัฐมากระตุ้นค่อนข้างมาก ดังนั้นไตรมาส 4 ปีที่แล้วฐานค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 3, 2, 1 ของปีนี้แล้ว เชื่อว่าไตรมาส 4 จะดีกว่าแน่นอน"ผู้ว่าการ ธปท.ระบุ
อย่างไรก็ดี คาดว่าเดือนหน้า ธปท.จะทบทวนประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากล่าสุดที่เคยประเมินไว้ทีระดับ 4.2%
สำหรับความพร้อมเรื่องสภาพคล่องในตลาดเงินของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ต่อแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐบาล วงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ตามแผนใน พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นการลงทุนในระยะยาว 7 ปี ซึ่งในปีที่ 1-2 คาดว่าจำนวนเงินที่จะกู้จากตลาดไม่มากนัก ดังนั้นเชื่อว่าสภาพคล่องในตลาดเงินสามารถรองรับได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
“หากคิดเฉลี่ย 2 ล้านล้านบาท 7 ปี ก็จะตกปีละ 3 แสนล้านบาท คล้ายๆ การขาดดุลงบประมาณในแต่ละปีโดยทั่วๆไปอยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร และหากใช้ในเรื่องที่จะเกิดดอกผลต่อเศรษฐกิจก็ไม่น่าเป็นประเด็นมาก อันที่จริงระบบการเงินยังมีสภาพคล่องส่วนเกินดูดซับอยู่ที่ ธปท.จำนวนหนึ่งด้วย" นายประสาร กล่าว
ส่วนตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศในปีนี้นั้น เชื่อว่า ยังน่าจะสมดุลหรืออาจจะขาดดุลไม่มาก และไม่ใช่ประเด็นที่จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ