"การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เป็นไปตามคาด ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนใน Emerging Market" นางจันทวรรณ กล่าว
แต่การประชุมครั้งต่อไปของเฟดที่จะมีขึ้นช่วงเดือน ธ.ค.เป็นช่วงใกล้เทศกาลวันหยุดยาว ไม่รู้ว่าตลาดจะตอบสนองเร็วและแรงกว่านี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่คาดการณ์ยาก
ส่วนผลกระทบค่าเงินบาทต่อเอกชนนั้น เชื่อว่า ไม่กระทบมากเพราะเอกชนมีการปรับตัวมากขึ้น ขณะที่ ธปท.ได้มีการเตือนเอกชนให้ปิดรับความเสี่ยง โดยการซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง ขณะที่สถาบันการเงินก็มีเครื่องมือช่วยบริหารจัดการ ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการก็ต้องตื่นตัวและรับฟังข้อมูลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
"ที่ผ่านมาตลาดมีการพัฒนาไปมากพอสมควร สามารถรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าในระยะต่อไปทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้น การถอนมาตรการ QE ที่เป็นนโยบายซึ่งนำมาใช้ในช่วงไม่ปกติก็ต้องยุติ หรือยกเลิก เพื่อกลับเข้าสู่ภาวะปกติ" นางจันทวรรณ กล่าว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. ภัทร กล่าวว่า การคงมาตรการ QE ของเฟด ถือว่าผิดความคาดหมายที่มองว่าเฟดจะลด QE ลง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จาก 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ตลาดการเงิน ตลาดทุน และตลาดทองคำผันผวนมาก ทำให้สภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่จำนวนมากไหลกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงของภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยอีกครั้ง
“ราคาหุ้น ราคาทองคำ ปรับขึ้นทั่วโลก อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยระยะยาวขยับสูงขึ้น แต่การปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะยาวนานแค่ไหนไม่สามารถระบุได้ เพราะเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องลดขนาดและเลิก QE ในที่สุด โดยขณะนี้ตลาดจับตามองการประชุมของเฟดในเดือนธ.ค.นี้ อาจเริ่มลดขนาด QE หรือเลื่อนไปเป็นกลางปี 2557 ขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวในปี 2557 ส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ส่งออกปีหน้าคาดโต 5-7% จากปีนี้คาดโตเพียง 2% เศรษฐกิจโตได้ 4.8% จากปีนี้คาดโต 3.8%"นายศุภวุฒิ กล่าว