ทั้งนี้ ผู้ประกอบการทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสมุนไพร ต่างเห็นตรงกันว่าประเทศไทยยังขาดแคลนห้องปฏิบัติการ หรือห้องแล็ปที่จะตรวจคุณภาพสินค้า เพราะถ้าเป็นเอสเอ็มอี คงจะไม่มีศักยภาพพอในการสร้างห้องทดสอบขึ้นมาด้วยตนเองได้ ทั้งนี้ถ้าสามารถตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้จะเป็นการรับรองว่าสินค้ามีคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งนายกฯ ได้มอบหมายกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนามาตรฐานการรับรองคุณภาพด้วยการหาแนวทางในการพัฒนาห้องวิจัย ให้สามารถรองรับการตรวจสอบคุณภาพเครื่องสำอางและสมุนไพร ขณะเดียวกันได้ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์นำผลงานวิจัยที่มีอยู่ มาจับคู่กับภาคเอกชนในการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ตามความต้องการของตลาดอีกด้วย
นอกจากนี้ นายกฯ ได้มอบหมายให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ปรึกษาร่วมกับผู้ประกอบการในการจัดอบรมบุคลากรให้เหมาะสมกับความต้องการของอุตสาหกรรม รวมถึงได้มอบหมายให้นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรมช.เกษตรและสหกรณ์ได้ไปติดตามความคืบหน้าในการออกพระราชบัญญัติดังกล่าว
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าไปช่วยดูการทำระบบ E-COMMERCE ระบบชำระเงิน เพื่อช่วยเหลือการทำการค้าให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงการทำ BRANDING ที่ขณะนี้เริ่มมีการเปิดตัวโครงการ MODERN THAILAND ที่จะสร้างความชัดเจนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับเอกชนในการพัฒนาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจากข้าว เนื่องจากมีการเสนอในที่ประชุมว่า ข้าว สามารถไปพัฒนาเป็นแป้งในเครื่องสำอาง จมูกข้าวสามารถนำไปผลิตเป็นวิตามินอีเพื่อบำรุงผิวพรรณได้ และได้มอบหมายให้ทางกระทรวงพาณิชย์ เร่งหาทางในการผลักดันการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA และหาช่องทางการตลาดให้กับสินค้าเครื่องสำอาง สมุนไพร และสปา โดยภายใน 3 เดือนเมื่อแต่ละกลุ่มงานได้หารือจนตกผลึกถึงแนวทางในการแก้ปัญหาแล้ว อาจมีการพิจารณาในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ในทางที่เหมาะสมต่อไป
นายกรต โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย กล่าวว่า จากการศึกษาในปี 2555 พบว่าธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.7 ล้านล้านบาท เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15.5% หรือประมาณ 2.7 แสนล้านบาท โดยประเทศไทยมีส่วนแบ่งสูงสุดที่ 40% รองลงมาเป็นสิงคโปร์ที่ระดับ 32% โดยประเทศไทยมีความโดดเด่นด้านแพทย์ทางเลือก การดูแลแบบองค์รวม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรที่ภายในปี พ.ศ. 2593 ประชากรในโลกกว่า 1 ใน 3 จะมีอายุสูงกว่า 60 ปี ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมการรองรับ
ด้านพญ.ประภา วงศ์แพทย์ ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพมาก แต่ขาดแคลนการอบรมบุคลากรให้มีปริมาณและคุณภาพเพียงพอต่อความต้องการของตลาด ประกอบกับร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อบริการสุขภาพ ยังไม่ได้มีการประกาศใช้ ทำให้ไทยเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ