ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) เดือน ก.ย.56 อยู่ที่ 103.23 เพิ่มขึ้น 0.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือน ส.ค.56
ขณะที่ตัวเลข CPI 9 เดือน(ม.ค.-ก.ย. 56)เพิ่มขึ้น 2.36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ Core CPI เฉลี่ย 9 เดือนเพิ่มขึ้น 1.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มเดือน ก.ย.56 อยู่ที่ 108.96 เพิ่มขึ้น 2.49% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือน ส.ค.56 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าที่ไม่ใช่หมวดอาหารและเครื่องดื่มเดือน ก.ย.56 อยู่ที่ 103.57 เพิ่มขึ้น 0.85% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือน ส.ค.56
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนก.ย.นี้ ถือว่าสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค.56 สาเหตุมาจากราคาผักและผลไม้สดหลายชนิดมีราคาลดลง เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิต อีกทั้งเป็นช่วงฤดูกาลผลิตที่ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเดือนส.ค.56 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จึงส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก ขณะที่รัฐบาลยังคงมาตรการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ซึ่งทำให้ภาวะการใช้จ่ายด้านการบริโภคในภาพรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่มีเสถียรภาพ
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ(CPI)ในเดือนก.ย.56 ที่สูงขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 1.42% เป็นผลมาจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 2.49% เช่น ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ปีก สัตว์น้ำ ไข่ นม อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น ขณะที่เป็นผลจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 0.85% เช่น เครื่องนุ่งห่ม เคหสถาน การตรวจรักษา พาหนะและการสื่อสาร เป็นต้น
แต่หากเปรียบเทียบ CPI ในเดือนก.ย.56 ที่สูงขึ้น 0.16% จากเดือนส.ค.56 นั้น เป็นผลมาจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 0.16% เช่น ไข่ ผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหาร ข้าว แป้ง อาหารสำเร็จรูป ขณะที่เป็นผลจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม 0.15% เช่น ยาสูบและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เคหสถาน เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ค่าตรวจรักษา และบริการส่วนบุคคล เป็นต้น
อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงนี้ ทำให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในปี 56 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.1-2.6% จากเดิม 2.8-3.4% โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/56 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 1.7% ซึ่งจะทำให้มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อทั้งปีนี้อยู่ที่ราว 2.3-2.4%
สาเหตุที่ต้องปรับเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ลงเนื่องจากสมมติฐานหลายตัวปรับลดลง เช่น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ต่ำกว่าระดับที่เคยคาดไว้ เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน จึงทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรกเงินบาทอยู่ในระดับที่แข็งค่าขึ้น และสถานการณ์ความไม่สงบในซีเรียก็ไม่ได้ยืดเยื้อและรุนแรงไปมากกว่าที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับสมมติฐานอัตราเงินเฟ้อใหม่สำหรับปีนี้ดังนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบ ลดลงเหลือ 90-110 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิม 100-120 ดอลลาร์/บาร์เรล, อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท เฉลี่ยที่ 28.00-32.00 บาท/ดอลลาร์ จากเดิม 28.50-32.50 บาท/ดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลยังคงมาตรการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนไว้เช่นเดิม
อย่างไรก็ดี การปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่ ได้คิดรวมการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) ตั้งแต่เดือนก.ย.-ธ.ค.56 ไว้แล้ว ซึ่งผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซต่ออัตราเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับที่น้อยมาก โดยการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มเดือนละ 50 สต./กก.ตั้งแต่ก.ย.-ธ.ค.56 รวมเป็น 2 บาท/กก.นั้น ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเพียงเดือนละ 0.0060% และหากคิดเป็นทั้งปีจะกระทบเพียง 0.0240% เท่านั้น
ส่วนปัญหาน้ำท่วมจะส่งผลต่อสินค้าเกษตรให้มีราคาแพงขึ้นและกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อหรือไม่นั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์ มองว่า การที่น้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรอาจจะส่งผลต่อ supply ให้ลดลงบ้าง แต่ราคาสินค้าจะไม่ปรับขึ้นจนมีผลต่อเงินเฟ้อมาก เนื่องจากในเดือนต.ค.บางพื้นที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตทางการเกษตรจะออกสู่ตลาดมาก จึงทำให้ราคาสินค้าไม่ได้แพงขึ้นและไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อเท่าใดนัก