"เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ การส่งออกก็ชะลอตัวแรงกว่าที่คิด โดยปีนี้คาดจะขยายตัวได้เพียง 2% จากต้นปีคิดว่าน่าจะขยายตัวได้ 7% แต่ยืนยันไม่น่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนปี 40 ตามที่หลายฝ่ายกังวล แม้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะขาดดุล 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในช่วงครึ่งแรกของปิ 56 แต่ประเมินว่าในปี 57 จะขาดดุลเพียงเล็กน้อยหรือสามารถกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้ ประกอบกับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูงเพียงพอรองรับการนำเข้าได้ 7.6 เดือน"นางลัษมณ กล่าว
อยางไรก็ตาม เอดีบียังคงติดตามความเสี่ยงจากการลงทุนภาครัฐที่อาจล่าช้าออกไปอีกจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า รวมถึงความเสี่ยงจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก และจีนที่อาจต่ำกว่าคาดการณ์ และยังต้องจับตามองสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่อาจกลับมาตึงเครียดอีก
ทั้งนี้ เอดีบีมองว่าการอุปโภคบริโภคในประเทศคงเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจได้ยาก เพราะดัชนีความเชื่อมั่นยังปรับตัวลดลง จากหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมากระทบต่อการบริโภค ดังนั้น พระเอกในขณะนี้คือการลงทุนภาครัฐ หากทำได้เต็มที่ในปีหน้าก็จะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตามไปด้วย ขณะที่ปัจจัยดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับต่ำที่ 2.5% ซึ่งเอื้อต่อการลงทุนอยู่แล้ว อีกทั้งผลพวงจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นน่าจะทำให้การส่งออกของไทยปีหน้าขยายตัวได้ในระดับ 7-8% และทำให้การลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย
ส่วนผลกระทบจากปัญหางบประมาณของสหรัฐนั้น เอดีบีมองว่าภาวะ government shutdown จะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นเพียงการต่อรองทางการเมืองภายในของสหรัฐ ซึ่งสุดท้ายเชื่อว่าทางการสหรัฐจะสามารถเจรจาตกลงในเรื่องนี้และการขยายเพดานหนี้ได้ในที่สุด