ส่วนนายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท.กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวยังกระทบต่อประมาณการของ ธปท.ไม่มาก ส่วนภาวะเงินทุนไหลออกนั้น ในระยะสั้นคงต้องดูว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะต้องติดตามสถานการณ์รายวันในตลาดเงิน อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางการสหรัฐจะมีการหารือกันภายใน 2-3 วันก็น่าจะได้ความชัดเจน
ขณะที่นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)กล่าวว่า ผลกระทบจากงบประมาณสหรัฐสะดุด เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย หากปัญหาในเรื่องดังกล่าวยืดเยื้อยาวนานก็จะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกับความไม่ชัดเจนในการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(QE)
ทั้งนี้ นักลงทุนจะต้องจับตามองและติดตามข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และขอให้ใช้หลักการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีเป็นหลัก เพราะหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงก็ยังทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าพอใจ พร้อมแนะนำให้นักลงทุนระวังความผันผวนจากกระแสเงินที่จะไหลเข้าและไหลออกภายในปีนี้ด้วย
ด้านผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจอาจจะมีบ้าง เพราะหากสหรัฐฯไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวได้เร็ว ก็จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐให้ช้าลง ความต้องการในภาคการบริโภคก็จะลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก เช่น ไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชีย อาจจะไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า ผลกระทบอาจจะมีไม่มากนัก แม้ว่าขณะนี้จะมีหน่วยงานราชการของสหรัฐบางแห่งต้องปิดบริการชั่วคราว แต่สหรัฐก็เคยเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวมาแล้วในปี 38 ที่มีการปิดให้บริการของหน่วยงานราชการถึง 21 วัน ดังนั้น จึงมีการประเมินว่าหากปิดบริการเป็นเวลา 1 เดือนจะกระทบต่อกรขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเพียง 0.1%
และเชื่อว่าสถานการณ์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยตลาดทุนและตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการคาดการณ์เหตุการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้ และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เพราะมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียและไทย
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐในวันที่ 17 ต.ค.ซึ่งหากสหรัฐขยายเพดานหนี้เพิ่มขึ้นก็จะทำให้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง โดยจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดเงินและตลาดหุ้นเกิดความผันผวนอย่างหนัก อีกทั้งยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ(FOMC)จะมีการประชุมช่วงปลายเดือน ต.ค. เพื่อพิจารณาว่าจะมีการลดขนาดมาตรการ QE หรือไม่ ตลาดมีการคาดการณ์ว่าการประชุมครั้งนี้น่าจะยังคงขนาด QE ต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้นในอนาคตสหรัฐก็ต้องยกเลิกมาตรการ QE อย่างแน่นอน และอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่รัฐบาลและนักลงทุนของไทยจะต้องเร่งลงทุนในช่วงนี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ หากรัฐบาลลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามแผนงานที่วางไว้ก็จะกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนตาม เนื่องจากเกิดความเชื่อมั่น และจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ในปี 57 ขยายตัวได้ถึง 5.1% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ จีดีพีจะปรับฐานลงมาขยายตัวเพียง 3.5-4% ซึ่งกระทรวงการคลังก็จะเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคเพื่อผลักดันจีดีพีเป็นไปตามเป้าที่วางไว้