ทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาในตลาด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศประจำสัปดาห์ในคืนนี้ เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ก็อาจจะไม่มีการถูกประกาศจากกระทรวงแรงงาน เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ปิดทำการหน่วยงานของรัฐบาลชั่วคราว
"วันนี้บาทคงจะแกว่งในกรอบแคบๆ ทิศทางวันนี้ค่อนข้างเงียบ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่รอดูกันคืนนี้อาจต้องเลื่อนการประกาศไปก่อน เช่น ตัวเลข Nonfarm payrolls เพราะมีการปิดบางหน่วยงานของสหรัฐฯ" นักบริหารเงิน กล่าว
โดยคาดว่าวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.20-31.40 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 97.25 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 97.71 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3627 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.3608 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ระดับ 31.1970 บาท/ดอลลาร์
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า การชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน คล้ายกับการใช้มาตรการทางภาษีเพื่อลดต้นทุนชั่วคราวซึ่งสามารถทำได้เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องสะท้อนภาพของกำลังซื้อที่ลดลง
- นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าฯ ธปท. ชี้ปัญหาวิกฤตงบประมาณสหรัฐ จะแก้ไขได้ในระยะสั้นและน่าจะหาข้อสรุปได้ในที่สุด แต่ปัญหาที่น่ากังวลคือเรื่องการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐที่หากตกลงกันไม่ได้จะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก ผลกับเศรษฐกิจไทยที่แน่ๆคือความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ทุกฝ่ายต้องตั้งรับให้ดี ทำตัวเองให้แข็งแกร่งโดยเฉพาะเศรษฐกิจ ภาคสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนต้องรักษาสภาพคล่องให้ดี อย่าให้หนี้เสียมากเกินไป ทำตัวให้เบา นโยบายการเงินก็ต้องติดตามใกล้ชิดเก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็น และติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในทุกประเทศด้วย
- นายสมชาย หาญหิรัญ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ปัญหากรณีที่สภาคองเกรสของสหรัฐ อเมริกาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณของรัฐบาล จนทำให้ต้องปิดทำการหน่วยงานบางส่วนนั้น จะไม่ส่งผลต่อทั้งภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย เพราะเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วและตลาดก็คาดการณ์ถึงเหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้(3 ต.ค.) เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าการปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐอาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เลื่อนเวลาในการปรับลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์พลังงานของสหรัฐ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 79 เซนต์ ปิดที่ 103.31 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์(BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 19 เซนต์ ปิดที่ 109.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ผลพวงของการปิดหน่วยงานรัฐบาลส่งผลให้ทางการสหรัฐไม่สามารถรวบรวมข้อมูลหรือเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร(Nonfarm payrolls) เดือนก.ย.ตามกำหนดการเดิมที่จะมีการเปิดเผยในช่วงค่ำวันศุกร์นี้ ตามเวลาไทย
- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ ดัชนี MSCI Asia Pacific ร่วงลง 0.4% แตะระดับ 138.96 จุด เมื่อเวลา 9.26 น.ตามเวลาโตเกียว เนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกกังวลว่าการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจจะยืดเยื้อและส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้น 80 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 12,250 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,326.82 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 8.6ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกงในวันนี้
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) เตือนว่า หากสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ไม่สามารถเพิ่มอำนาจในการกู้ยืมของรัฐบาล ก็จะสร้างความเสียหายรุนแรงแก่เศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯ และของโลก โดยเรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติของสหรัฐคลี่คลายความขัดแย้งทางการคลังให้ทันเวลา
- สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ(ISM) เผยดัชนีภาคบริการเดือนก.ย.ร่วงลงสู่ระดับ 54.4 จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 58.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี โดยดัชนี ISM ภาคบริการเดือนก.ย.ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด เนื่องจากยอดสั่งใหม่ และตัวเลขการจ้างงานในภาคบริการหดตัวลง