สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นสินค้าเกษตรตามพันธกรณีความตกลงระหว่างประเทศ เช่น องค์การการค้าโลก(WTO),เขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA) เป็นต้น ที่จะต้องมีการจัดระเบียบบริหารการนำเข้าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกร กรณีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้ WTO กำหนดให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้าตามปริมาณในโควตา 54,700 ตันแต่เพียงผู้เดียว ที่ผ่านมา ผู้นำเข้าทั่วไปสามารถนำเข้านอกโควตาได้ แต่ต้องเสียภาษีสูงถึง 73๔ และเสียค่าธรรมเนียมพิเศษอีก 180 บาท/ตัน จึงไม่มีการนำเข้าว
ส่วนการนำเข้าภายใต้ AFTA อคส.สามารถนำเข้าข้าวโพดในอัตราภาษีนำเข้า 0% ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.56 และต้องจัดทำแผนสั่งซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคา และความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ ขณะที่ผู้นำเข้าทั่วไปสามารถนำเข้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.-31 ส.ค.56 ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และ กัมพูชา ออกสู่ตลาดน้อย ดังนั้น จึงไม่น่ากระทบต่อเกษตรกรของไทย
นอกจากนี้ การเป็นผู้นำเข้าจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศเป็นรายปี และต้องมีหนังสือรับรองความปลอดภัยต่อชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ หรือพืช (Phytosanitary Certification) จากประเทศต้นทาง รวมทั้งปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ. ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ.2525 อย่างเคร่งครัด อีกทั้งต้องนำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านกักสัตว์ตามที่ระบุไว้เท่านั้น ภายหลังจากการนำเข้าแล้วจะต้องรายงานการนำเข้าให้กรมการค้าต่างประเทศทราบภายใน 30 วัน
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วงเวลานี้การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้ความตกลง AFTA สำหรับผู้นำเข้าทั่วไปได้สิ้นสุดลง ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านจึงไม่สามารถเข้าสู่ตลาดภายในประเทศได้ หากตรวจพบว่ามีการลักลอบการนำเข้า กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างเข้มงวดในทันที และจะจัดตั้งคณะทำงานกำกับดูแลและติดตามการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการสินค้าไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดที่จะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ
นอกจากนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และจากปริมาณผลผลิตที่มีจำนวนมากในขณะนี้ หน่วยงานภาครัฐมีแนวทางที่จะผลักดันการส่งออกอีกทางหนึ่ง โดยมุ่งเน้นตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่าประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยดังกล่าว โดยเฉพาะมาเลเซีย และอินโดนีเซียยังคงมีความต้องการใช้ข้าวโพดในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องมีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในระยะนี้ด้วยเช่นกัน