"ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องพัฒนาแหล่งพลังงานปิโตรเลียมเพื่อหาสำรองใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อเป็นการขยายอายุสัมปทาน เพราะปัจจุบันหลายบริษัทที่ได้สัมปทานปิโตรเลียมก็กำลังจะหมดลง หากไม่มีความชัดเจนถึงการต่ออายุหรือเปิดสัมปทานใหม่ๆ ก็จะทำให้ไม่มีการลงทุนเพิ่ม" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบัน กระทรวงพลังงานมีการจัดเตรียมแผนรองรับกับการขาดแคลนพลังงานในอนาคต ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ(PDP) ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2555-2573 โดยเน้นกระจายชนิดเชื้อเพลิงให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม, แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 25% ใน 10 ปี(พ.ศ.2555-2564) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากฟอสซิล, แผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี(พ.ศ.2554-2573 ) โดยมีเป้าหมายลดการใช้น้ำมันลง 25% ในปี 2573 เมื่อเทียบกับปี 2548 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างจัดทำแผนแม่บทด้านพลังงานของประเทศ 20 ปีเพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาพลังงานในระยะยาวเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานที่สังคมยอมรับและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ส่วนการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ประชาชนมีความพร้อมและความเข้าใจในเรื่องของนิวเคลียร์ ล่าสุดประเทศไทยมีความร่วมมือกับจีนในการถ่ายทอดความรู้ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้ส่งบุคลากรเพื่อเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการพลังงานนิวเคลียร์และเรียนรู้เรื่องการบริหารความปลอดภัยภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำยังคงไม่สามารถรองรับในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ เพราะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำทำให้ปริมาณไฟฟ้าไม่แน่นอน ขณะที่การสร้างเขื่อนเป็นไปเพื่อการชลประทานและการเกษตรมากกว่า
สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในระยะยาวถือเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มีศักยภาพ แม้ที่ผ่านมาภาพของโรงไฟฟ้าแม่เมาะยังอยู่ในความไม่เข้าใจของประชาชนและเกิดความหวาดกลัว แต่โรงไฟฟ้าแม่เมาะในปัจจุบันมีการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อรักษามลภาวะทำให้อากาศที่แม่เมาะมีคุณภาพที่ดีกว่ากรุงเทพฯ โดยเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าถ่านหินในปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีระบบปิดทั้งหมด ตั้งแต่ระบบขนส่งจนถึงการผลิต รวมถึงการปล่อยมลพิษออกสู่บรรยากาศ ซึ่งนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่สะอาด ขณะเดียวกันถ่านหินมีปริมาณสำรองทั่วโลกอยู่มากและราคาก็มีเสถียรภาพมากกว่าน้ำมันทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินต่ำกว่าแต่กระบวนการสร้างการเรียนรู้โรงไฟฟ้าถ่านหินยังคงต้องสร้างความเข้าใจต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน