หากพิจารณาเป็นรายสาขา พบว่า มี 4 สาขาที่ลดลง คือ โดยสาขาเคมีภัณฑ์เป็นสาขาที่มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด รองลงมาคือ สาขาอาหารและเครื่องดื่ม(จำนวนผู้ประกอบการมากที่สุดในสาขานี้) สาขาผลิตภัณฑ์โลหะ และสาขาเครื่องเรือน ทั้งนี้ใน 4 สาขาที่ลดลง เป็นกลุ่มใหญ่ของธุรกิจ SMEs ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้ภาพรวมของค่าดัชนีในปัจจุบันลดลง
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิตไตรมาส 4/2556 ก็คาดการณ์ว่าจะลดลงจาก 50.0 เหลือ 47.9 นั่นคือไตรมาส 4 ปีนี้ SMEs อีสานยังไม่เชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ในส่วนของค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมในปัจจุบัน พบว่า ค่าดัชนีปัจจุบันปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2/2556 โดยปรับจากที่ระดับ 48.1 มาอยู่ที่ระดับ 47.3 ในส่วนของค่าดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ฯ พบว่า ค่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากที่ระดับ 53.0 ในไตรมาส 2/2556 มาอยู่ที่ระดับ 55.5 ในไตรมาส 3/2556 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SMEs อีสานคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศไตรมาส 4/2556 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากเดิม
ผลการคำนวณเฉลี่ยทุกสาขา พบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจทั้งปัจจุบันและอนาคตที่มีนัยยะในระดับมากคือ ราคาน้ำมัน/ค่าขนส่ง, ต้นทุนสินค้า/ค่าแรง และการแข่งขันในตลาด ส่วนปัจจัยระดับปานกลาง ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ อำนาจซื้อของประชาชน การหดตัวของความต้องการสินค้า คุณภาพบริการของสาธารณูปโภค สภาวะเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ทางการเมือง และมาตรการต่างๆจากภาครัฐบาล ขณะที่ปัจจัยที่มีผลเพียงเล็กน้อยคือ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราแลกเปลี่ยน
จากค่าคะแนนดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเน้นตลาดภายในประเทศเป็นหลัก และมีส่งออกตลาดต่างประเทศบ้างแต่มีปริมาณที่ไม่มากนัก
อนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของผู้ประกอบการ SMEs สาขาการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม-6 กันยายน 2556 จากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 680 ราย จากจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา และอุบลราชธานี