นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า คาดว่าการประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) พรุ่งนี้อาจจะไม่คึกคัก เนื่องจากช่วงจังหวะในการประมูลใกล้เคียงกับระยะเวลาที่ผลผลิตข้าวนาปีฤดูกาลใหม่กำลังจะออกสู่ตลาดในระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ
นอกจากนี้ ซัพพลายในตลาดยังมีมากอยู่ ผู้ประกอบการสามารถหาซื้อข้าวในตลาดได้ในราคาที่ไม่แพง เช่น ข้าวขาวราคาในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 12 บาท/กก. ข้าวหอมมะลิ 30 บาท/กก. ทำให้ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องไปซื้อจากภาครัฐ ขณะที่ภาครัฐบาลก็คงอยากขายข้าวได้ราคาดี ที่สำคัญคือความไม่มั่นใจในคุณภาพข้าวในสต็อกรัฐบาลเมื่อเทียบกับข้าวใหม่ที่กำลังจะออกน่าจะมีคุณภาพดีกว่า
อีกทั้ง วิธีการประมูลผ่านตลาด AFET มีความยุ่งยาก หลายขั้นตอน และเป็นตลาดของนักลงทุนเก็งกำไร
"การประมูลผ่านตลาด AFET อาจเป็นช่องทางให้คนที่หัวหมอปั่นราคาให้สูงๆ ทำให้ต้องมาเคาะซื้อในราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นข้อเสียของตลาด AFET ที่ผู้ส่งออกเคยประสบมาในอดีตและเข็ดขยาดกันไปตามๆกัน...เพราะฉะนั้นมองว่าภาพรวมการประมูลข้าวรัฐบาลในวันพรุ่งนี้อาจไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่...คิดว่ากำไรคงไม่มี แต่จะขาดทุนมากหรือขาดทุนน้อยเท่านั้น"นายชูเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ที่เคยทำข้าวถุงให้รัฐบาลในโครงการต่างๆ มาเข้าร่วม เช่น นครหลวงค้าข้าว เจียเม้ง เป็นต้น
ด้านนายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปทุมไรซ์มิล แอนด์ แกรนารี (PRG) ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวบรรจุถุงตรา"มาบุญครอง"เปิดเผยว่า เชื่อว่าการประมูลข้าวในวันพรุ่งนี้คงจะมีผู้เข้าร่วมประมูลบางตา เนื่องจากเหตุผลสำคัญ 3 ข้อ คือ ข้อแรก ช่วงจังหวะเวลา เพราะช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวนาปีฤดูกาลใหม่ ซึ่งข้าวหอมมะลิที่กำลังจะออกมาน่าจะเป็นที่สนใจมากกว่าข้าวที่อยู่ในสต็อกของรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ โดยประมาณการผลผลิตนาปี ข้าวหอมมะลิใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาดปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีก่อนที่ผลผลิตข้าวนาปีอยู่ที่ 6 ล้านตันข้าวเปลือก
ข้อที่สอง หลายๆรายได้เข้าไปตรวจสอบคุณภาพของข้าวในสต็อกรัฐบาลแล้วห็นว่าไม่ตรงกับความต้องการ เช่น เก่าเกินไป ข้อสาม การประมูลผ่านตลาด AFET มีค่าใช้จ่ายหลายทาง มีค่าธรรมเนียมต่างๆ
นอกจากนี้ ราคาข้าวในตลาดปัจจุบันกับตลาดล่วงหน้าห่างกัน เช่น ข้าวหอมมะลิฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะออกจะอยู่ที่ประมาณ 30 บาท/กก. แต่ข้าวหอมมะลิเก่าในสต็อกรัฐบาลราคาจะอยู่ประมาณ 33 บาท/กก.
"คาดว่าการประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาลวันพรุ่งนี้คงไม่คึกคัก ในนามของข้าวมาบุญครองก็คงไม่ร่วมประมูลข้าวในวันพรุ่งนี้..หลักๆ คือมันใกล้ฤดูกาลเกี่ยวเกี่ยวข้าวใหม่"นายสมเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เสนอแนะให้รัฐบาลเปิดประมูลข้าวในสต็อกเรื่อยๆ ทำให้เป็นปกติ
"ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้เปิดประมูลคนไม่มา ก็หายไปเลย อยากให้ทำเรื่อยๆ เพราะเดือนนี้ลูกค้าอาจจะไม่ต้องการ แต่เดือนหน้าต้องการ ทำให้สม่ำเสมอ อย่าเพิ่งถอดใจกับผลตอบรับในวันพรุ่งนี้"นายกสมาคมข้าวถุง กล่าว
อนึ่ง กระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาลในครั้งแรกนี้มีจำนวนรวม 140,443.790 ตัน แบ่งเป็น ข้าวขาว 5% จำนวน 109,775.065 ตัน จากคลังในจังหวัดนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ชัยนาท และสระบุรี และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 จำนวน 30,668.725 ตัน จากคลังในจังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ โดยกำหนดการรับมอบข้าวเป็น 3 ล็อต เริ่มล็อตแรกในเดือน ธ.ค.56 ส่วนล็อตสองและสามในเดือน.ค.และ ก.พ.57 ตามลำดับ เพื่อให้ผู้ค้าข้าวที่เข้าประมูลวางแผนการค้าข้าวได้อย่างเหมาะสม โดยจะเปิดคลังสินค้าให้ผู้ประกอบการข้าวทั่วไปได้เข้าตรวจสอบคุณภาพหรือดูสภาพข้าวสาร ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 22 ต.ค.นี้ และเปิดยื่นซองเสนอส่วนต่างราคา(Basis) ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ ณ กระทรวงพาณิชย์