นอกจากนี้ยังได้ออกมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2556 โดยให้ส่วนราชการต่างๆ ที่ขอเปลี่ยนแปลงรายการแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณทั้งที่ก่อหนี้ได้และก่อหนี้ไม่ได้ในวงเงิน 146,000 ล้านบาท ให้เร่งเบิกจ่ายภายในเดือนธันวาคม 2556และเมื่อรวมกับการเบิกจ่ายเงินปี พ.ศ. 2557 จะมีเงินงบประมาณเข้าระบบมากกว่า 600,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในไตรมาสที่ 1 ภาครัฐสามารถเบิกจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ถึง 750,000 ล้านบาท
นายกิตติรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังจะใช้มาตรการใหม่ที่สำคัญ คือ จะนำข้อมูลการก่อหนี้และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2556 และ พ.ศ. 2557 จากระบบ GFMIS ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 ไปใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 และถ้าก่อหนี้ เบิกจ่ายเงินกันขยาย และเงินงบประมาณปี พ.ศ. 2557 ที่ได้รับจัดสรรได้จำนวนน้อย จะทำให้งบประมาณปี พ.ศ. 2558 ได้รับการจัดสรรน้อยลงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการปรับวงเงินงบประมาณให้สอดคล้องกับความสามารถในการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินได้ภายในปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรร และยังไม่เป็นภาระกับรัฐบาลในการสำรองเงินไว้ให้หน่วยงานที่ยังไม่พร้อมดำเนินงาน
ทั้งนี้ รัฐบาลจะนำเงินดังกล่าวและยังไม่เป็นภาระกับรัฐบาลในการสำรองเงินไว้ให้หน่วยงานที่ยังไม่พร้อมดำเนินงาน ทั้งนี้รัฐบาลจะนำเงินดังกล่าวไปจัดสรรให้กับหน่วยงานที่มีความพร้อมมากกว่าไปดำเนินการแทน
ด้านนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า มาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณในปีนี้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มา เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก โดยกำหนดนโยบายที่เน้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการด้านต่างๆ ให้ลดน้อยลงและทำให้ส่วนราชการสามารถปฏิบัติงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดต่อไป โดยได้เชิญหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ มารับฟังการชี้แจงในวันนี้