และในปัจจุบันประเทศกำลังประสบภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกใน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาที่เติบโตเพียงร้อยละ 0.05 ขณะที่การส่งออกทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 1 เท่านั้น ดังนั้นจึงขอให้ทุกฝ่ายได้คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย
ทั้งนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ในขณะนี้ดังนี้ 1.หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยยึดมั่นต่อการต่อต้านคอร์รัปชั่น และได้เห็นว่าการรณรงค์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว
2.ขอให้ทุกฝ่ายลดการเผชิญหน้าและการท้าทายซึ่งกันและกัน ไม่ใช้ความรุนแรง อันจะนำไปสู่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความเชื่อมั่น ตลอดจนภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกคนในชาติ ในระยะยาว และยากแก่การเยียวยา
3.ขอให้ทุกฝ่ายยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง พิจารณาการดำเนินการอย่างมีสติ เพื่อให้สันติสุข และความสามัคคีกลับมาสู่ประเทศไทยอย่างเร็วที่สุด
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากมีการนัดหยุดงานจริงและเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการขนส่งทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ หยุดทำงานทั้งหมดก็จะทำให้เกิดความเสียหายสูงถึงเดือนละ 50,000-100,000 ล้านบาท แต่หากการนัดหยุดงานเกิดเฉพาะบริษัทเอกชนที่อยู่ในภาคบริการ และการหยุดงานเป็นเพียงระยะสั้นๆ รวมทั้งไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น คาดความเสียหายจะอยู่ที่เดือนละ 20,000-30,000 ล้านบาท หรือมีผลทำให้ GDP ปีนี้ลดลง 0.1-0.2%
อย่างไรก็ดี หากการชุมนุมยืดเยื้อไปถึงสิ้นปีนี้ แต่ไม่เกิดความรุนแรง คาดว่า จะสร้างความเสียหาย 10,000-20,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50,000 ล้านบาท GDP ประเทศลดลง 0.2-0.3% หรือ GDP โดยรวมปีนี้เติบโตที่ 3.3-3.5% เท่านั้น
แต่หากการชุมนุมมีความรุนแรงขึ้นและต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปเดือนละ 200,000 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 30,000-50,000 ล้านบาท และจะทำให้ GDP โดยรวมปีนี้โตได้เพียง 3-3.2% และหากการชุมนุมยืดเยื้อต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสแรกปี 57 จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ 100,000-150,000 ล้านบาท และอาจทำให้ GDP ปี 57 เติบโตได้เพียง 4% จากเดิมคาดโต 5%