"ต้นทุนหน้าเหมืองอยู่ที่ 1,100 เชื่อว่า 1,150 น่าจะเป็นโลว์ จากนั้นน่าจะขึ้นมาในเดือน มี.ค.แต่ก็ขึ้นกับนโยบายของประธานเฟดคนใหม่"นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในทองคำช่วงนี้ ควรจะเล่นสั้นเข้าเร็ว-ออกเร็ว เพราะหากถือยาวจะเสี่ยงต่อการขาดทุน โดยผู้ที่ถือทองคำตั้งแต่เดือน ม.ค.-ธ.ค.56 หากคิดในรูปดอลลาร์จะขาดทุนแล้ว 31% แต่หากเป็นเงินบาทจะขาดทุนราว 26% หรือจากต้นปีราคาบาททองคำละ 24,200 บาทเหลือ 18,800 บาทในขณะนี้ จึงต้องลงทุนแบบการบริหารจัดการ ซื้อแล้วหากขาดทุนก็ต้องขายตัดขาดทุนไปก่อน
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ราคาทองปรับขึ้นมาได้ในขณะนี้มีเพียงเรื่องเดียวคือจะต้องมีการทำ QE เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ขณะที่กองทุน SPDR Gold Trust ยังขายทองคำออกมาจนเหลือการถือครองอยู่ที่ 860 ตันในขณะนี้ จากเดิม 1,350 ตัน หรือลดลงไปแล้ว 38% และมีโอกาสที่จะขายออกมาอีกต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1/57 ดังนั้นราคายังเป็นขาลงหากไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น
ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นแล้ว ทำให้เม็ดเงินลงทุนวิ่งเข้าไปที่สหรัฐ โดยจะเห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ทำนิวไฮ เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลอื่น รวมถึงเงินบาทซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทุก 1 บาทจะส่งผลต่อราคาทองคำบาทละ 700-800 บาท
"ให้ขายก่อนแล้วค่อยหาจังหวะเข้ามาซื้อ เพราะผู้ที่ถือ short จะกำไร 30% แต่ถ้าถือ long จะขาดทุน 30% ต้องปรับกลยุทธ์เป็นขายก่อนซื้อทีหลัง การลงทุนในทองต้องยอมตัดขาดทุนและเข้าใหม่ ถ้าราคาลงมามาก" นพ.กฤชรัตน์ ระบุ
ส่วนผลประกอบการของ MTS ในปีนี้ยังคาดว่าจะมีรายได้และยอดขายใกล้เคียงปีก่อนที่ 4 แสนล้านบาท แต่ในส่วนการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าทองคำนั้น ปริมาณการซื้อขายลดลงตามภาพรวมตลาดที่ลดลงราว 50-60% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากราคาทองคำปรับลดลงมามาก ขณะที่นักลงทุนไทยไม่คุ้นกับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงขาลง เพราะตลาดฟิวเจอร์ส์มีลักษณะขึ้นเร็วลงเร็ว ดังนั้นนักลงทุนจะต้องปรับตัวตามให้ทัน ซึ่งบริษัทเองก็มีการปรับกลยุทธ์รายสัปดาห์ และเน้นการบริหารพอร์ต