(เพิ่มเติม) คลัง เตรียมแพคเกจกระตุ้นศก.-ส่งเสริมการลงทุน คาดสรุปปลายปีนี้-ต้นปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 4, 2013 14:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ไปหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงาน เน้นการสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ส่งเสริมการลงทุน และการสร้างงาน โดยจะออกเป็นมาตรการชุดปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ครอบคลุมทุกด้าน

ขณะเดียวกันได้สั่งการให้กระทรวงต่างๆ นำข้อเสนอของเอกชนที่จะให้ภาครัฐขจัดอุปสรรคในการทำธุรกิจและยกมาตรฐานการผลิตมากำหนดแผนการดำเนินการที่ชัดเจนอีกด้วย

ทั้งนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)รายงานภาพรวมเศรษฐกิจว่าเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งในด้านการบริโภค การส่งออก และการผลิตภาคการเกษตร

เมื่อเทียบกับเดือนเดียวของปีก่อน เศรษฐกิจส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง เพราะฐานที่สูงในปีก่อน ทั้งนี้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี เงินเฟ้อไม่กดดัน ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงมาได้ด้วยการลดดอกเบี้ยลง 0.25% อย่างไรก็ตามพบว่ากำลังการผลิตภาคการส่งออกยังคงเหลือ เพราะภาคการส่งออกคาดว่าปีนี้จะไม่ขยายตัว สิ่งที่เป็นตัวช่วยเศรษฐกิจในไตรมาสสี่คือภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้สินค้าส่งออกที่ยังคงขยายตัวได้ดีในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้กลุ่มยานยนต์ เคมีภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน สิ่งทอและเครื่องนุ่งหม ผลไม้กระป๋อง ส่วนสินค้าเกษตรที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นคือยาง เพราะเริ่มส่งออกได้บ้าง

ซึ่งที่ประชุมได้หารือเศรษฐกิจภาพรวมของไทยที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม แต่จะต้องทำให้การท่องเที่ยวไม่ได้รับผลกระทบ หาทางสร้างความมั่นใจให้กับคนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

นอกจากนี้ สภาพัฒน์ รายงานว่า การชุมนุมทางการเมืองกระทบต่อการท่องเที่ยว ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2556 มีถึง 36 ประเทศที่เตือนการเดินทางมาเยือนประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางมาเยือนประเทศไทยในสัดส่วนที่น้อยลง

นอกจากนี้การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในช่วง 2 เดือนแรกมีการเบิกจ่ายรวม 476,568 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 15.2% นอกจากนี้ยังกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างประเทศยังคงเชื่อมั่นเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทย จึงยังไม่มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยลงแต่อย่างใด

ด้านนายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา รายงานในที่ประชุมว่าเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น แม้จะกระทบต่อภาพการท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครบ้าง แต่ยังไม่กระทบต่อนักท่องเที่ยวที่เชียงใหม่ และภูเก็ต อย่างไรก็ตามตลาดที่น่าเป็นห่วงคือตลาดญี่ปุ่นที่มีความอ่อนไหวมาก ที่มีการเตือนการเดินทางมาประเทศไทย ตลาดการประชุมสัมมนา เริ่มมีการยกเลิกคือตลาดการประชุม ทั้งนี้หวังว่าหลังจากเหตุการณ์สงบไปแล้วควรต้องมีการกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น โครงการไทยแลนด์แกรนด์เซลส์ที่ช่วยการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การส่งเสริมการสร้างภาพยนตร์จากผู้ผลิตต่างประเทศ

ทั้งนี้นายธีรัตถ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทุกกระทรวง กระตุ้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการจัดกิจกรรม นอกจากนี้ขอให้ประสานร่วมกับสถานทูตประเทศต่างๆ ที่ได้มีการเตือนการเดินทางมาในประเทศไทย โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นและยุโรป นอกจากนี้อยากเห็นการจัดกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเดินหน้าต่อไป อาจจะมีเพียงแค่บางพื้นที่เท่านั้นที่ไม่สะดวกเพราะมีการชุมนุม

ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานว่า สถานการณ์การเมืองกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ยกเว้นอินโดนีเซีย เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมีการขายตราสารหนี้กว่า 4,600 ล้านบาท ตราสารทุนกว่า 17,000 ล้านบาท

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มองไปด้านหน้ามีความเสี่ยงด้านลบเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เครื่องมือด้านนโยบายคลังจะมีผลน้อยลง จึงจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเข้าไปช่วยเสริม เพื่อใช้ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน

ทั้งนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่าเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ดูแลได้ แต่พบว่าการขยายตัวของสินเชื่อชะลอลงเหลือประมาณ 9% จากระดับใน 14% ในปีก่อน แต่ปีหน้าเป็นห่วงว่าจะขยายตัวในระดับ 7% ส่วนทางด้านต่างประเทศนั้นยังไม่มั่นใจสถานการณ์ของการใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐอเมริกา เพราะจะมีผลกระทบต่อนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูว่าจีนจะทำให้เงินหยวนแข็งขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อเงินบาทเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ