ส่วนกรณีที่ 2 หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่ค่อยมีเสถียรภาพ รัฐบาลไม่ค่อยมีเสถียรภาพ และการลงทุนของภาครัฐดำเนินการได้ต่ำกว่าแผนที่วางไว้ ประชาชน นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวมีความเชื่อมั่นเล็กน้อย คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 57 มีโอกาสเติบโตได้ 3.0-4.0% ซึ่งเงื่อนไขนี้มีความเป็นไปได้รองลงมา
นายธนวรรธน์ มองว่าทางออกประเทศไทยในขณะนี้ อยู่ที่การหาทางให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ ซึ่งมีทางออกอยู่ 2 ทาง คือ ทางแรก การเข้าสู่การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.57 และมีฉันทามติว่ารัฐบาลใหม่จะเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ทั้งนี้อาจจะไม่มีการลงทุนในโครงการใดๆ ใหม่เพิ่มเติมไปจากโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลใหม่จะเน้นที่การปฏิรูปการเมืองเป็นหลักสำคัญ
ส่วนทางที่สอง คือการเข้าสู่แนวทางการปฏิรูปการเมืองให้ได้ก่อน เพื่อให้มีรัฐบาลที่ชอบธรรมเข้ามาบริหารจัดการให้ทุกคนได้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งที่เป็นธรรม รวมทั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและเป็นธรรม
"2 ทางนี้เท่านั้น อะไรก็ได้ที่ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และพร้อมที่จะทรุดตัวลงได้ง่ายมาก" นายธนวรรธน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยต้องเกิดสูญญากาศทางการเมืองโดยไม่มีการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 2 ก.พ.57 นั้น นายธนวรรธน์ มองว่า หากมีการปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นโดยวิธีการสมัครใจ ก็จะทำให้การเมืองพร้อมที่จะเข้าสู่ความมีเสถียรภาพได้ แต่หากเป็นการปฏิรูปโดยวิธีการบังคับ ก็อาจจะทำให้การเมืองมีเสถียรภาพน้อยกว่าการทำด้วยความสมัครใจ
"หากมีการปฏิรูปทางการเมือง และมีรัฐบาลรักษาการซึ่งเป็นที่ยอมรับ เสถียรภาพทางการเมืองก็จะดี การจับจ่ายใช้สอย การท่องเที่ยว การลงทุนก็จะกลับสู่ปกติ เศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนโดยการส่งออก ท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชน ซึ่ง GDP น่าจะโตในระดับ 4% ได้ในระยะสั้น...ในมติด้านเศรษฐกิจแล้ว ไม่สำคัญว่าจะมีการเลือกตั้งขึ้นหรือไม่ แต่สำคัญที่ว่าการเมืองมีเสถียรภาพหรือไม่" นายธนวรรธน์ กล่าว