โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ 1.การเมืองภายในประเทศ ได้ 4.5 คะแนน 2.สภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ได้ 4.4 คะแนน 3.ความต้องการของตลาดที่ลดลง ได้ 4.3 คะแนน 4.ต้นทุนวัตถุดิบ ได้ 3.9 และ 5.สภาวะเศรษฐกิจของโลก ได้ 3.8 คะแนน
ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวน 418 คน พบว่า ผู้บริหารจำนวน 78.8% เชื่อว่า การยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมของประเทศ เพราะในที่สุดแล้วการเมืองก็ยังจะกลับมาสู่วังวนเดิม ขณะที่ผู้บริหาร 21.2% ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางออกหนึ่งที่จะช่วยให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองมีความชัดเจนขึ้น ช่วยให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนการสำรวจด้านดัชนีการทำธุรกิจมี 4 ด้าน คือ ดัชนีด้านรายได้ ดัชนีด้านต้นทุน ดัชนีด้านสภาพคล่อง และดัชนีด้านการจ้างงานนั้น จากการสำรวจดัชนีด้านรายได้ในเดือนพ.ย.พบว่ามีค่าเป็น -24 และคาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็น -21 ในเดือนธ.ค. ซึ่งการที่ดัชนียังมีค่าติดลบ แสดงให้เห็นถึงรายได้ยังมีการปรับตัวลดลง ด้านดัชนีต้นทุนปรับลดลงเป็น 33 จุด และคาดการณ์ว่าจะปรับมาอยู่ที่ 27 จุดในเดือนธ.ค. ทิศทางที่ลดลงของรายได้ ขณะที่ต้นทุนยังสูง ส่งผลให้ดัชนีสภาพคล่องยังคงมีค่าเป็นติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 โดยมีค่า -9 และคาดว่าจะลดลงเป็น -10 ในเดือนธ.ค. ส่วนดัชนีการจ้างงานมีค่า -4 และคาดว่าจะปรับขึ้นเป็น -2 จุดในธ.ค.
"จากผลสำรวจที่ดัชนีทางเศรษฐกิจ และดัชนีรายได้มีค่าติดลบติดต่อกันหลายเดือน สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่รัฐบาลยังไม่มีการออกมาตรการมาบรรเทาผลกระทบได้อย่างทันท่วงที จึงทำให้ธุรกิจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวที่เกิดขึ้น และนักธุรกิจยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน"เอกสารเผยแพร่ ระบุ
อนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของซีอีโอจำนวน 418 คน ระหว่างวันที่ 20 พ.ย.- 13 ธ.ค.56