สศค.ระบุว่า หากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองยืดเยื้อออกไปจะส่งผลกระทบทางลบต่อการท่องเที่ยวของไทย ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยที่คาดว่าอาจลดลงถึง 3 แสนคน และอาจส่งผลให้การเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐมีความล่าช้าออกไปอีก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3-4% นอกจากนี้ ในการประมาณการเศรษฐกิจยังต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยง อาทิ การดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศพัฒนาแล้วที่อาจส่งผลกระทบต่อความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนของไทย ภัยธรรมชาติและโรคระบาด อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอุตสาหกรรม
นายสมชัย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 56 คาดว่าจะขยายตัว 2.8% ลดลงจากที่คาดการณ์เดิม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างล่าช้าส่งผลกระทบให้ความต้องการสินค้าส่งออกของไทยลดลง ประกอบกับอุปสงค์ภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ปรับตัวลดลงและส่งผลให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจระมัดระวังการใช้จ่ายและการลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐยังมีแนวโน้มลดลงจากที่เคยคาดไว้ อันเป็นผลมาจากความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณและการเบิกจ่ายเม็ดเงินตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าและบริการคาดว่าจะเติบโตในอัตราเร่งขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกด้านบริการที่จะขยายตัวตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเกือบทุกภูมิภาค
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 56 จะอยู่ที่ 2.2% ลดลงจากปีก่อนหน้า ตามการชะลอตัวลงของอุปสงค์ภาคเอกชนประกอบกับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลงอันเป็นผลมาจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอลง
ส่วนปี 57 คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นมาขยายตัวที่ 4.0% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4.5% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 5.1 โดยมีปัจจัยหลักจากการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่อาจมีความล่าช้ากว่าที่คาด โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเม็ดเงินตามแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ตามคำสั่งของศาลปกครอง และการเบิกจ่ายเม็ดเงินตามแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่อยู่ระหว่างรอผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ การประกาศยุบสภาของรัฐบาลยังคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐให้เกิดความล่าช้าได้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะยังคงได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการส่งออกสินค้าและบริการ นอกจากนี้ สถานการณ์การจ้างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดีและภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำจะช่วยสนับสนุนให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้ ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 57 จะอยู่ที่ 2.4% ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9-2.9% ตามอุปสงค์ภาคเอกชนที่ดีขึ้น
นายสมชัย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ยังถือว่ามีพื้นฐานที่ดี ทั้งในเรื่องการทุนสำรองระหว่างประเทศ เงินคงคลัง อัตราเงินเฟ้อต่ำ ดังนั้นแนวทางที่จะพยุงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวต่อเนื่องไป ในส่วนของภาครัฐเองหน่วยงานก็ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วให้เกิดประสิทธิภาพมากสุด และใช้กลไกสถาบันการเงินของรัฐบาลเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่มีรัฐบาล
"เรามีทุนเดิมที่ดีอยู่แล้วก็ต้องคอยระวังไม่ให้ด้อยลงมา...ทุกหน่วยต้องเร่งเบิกจ่ายภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว ดำเนินการได้เลย ทุกกระทรวงทบวงกรมต้องดำเนินการไปตามปกติ อย่าใส่เกียร์ถอยหลังหรือเกียร์ว่างเด็ดขาด" นายสมชัย กล่าว
ส่วนการขับเคลื่อนภาคเอกชนนั้นต้องจับตาดูเรื่องการเพิ่มของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 3% หากเพิ่มขึ้นมาที่ 5-6% จะส่งสัญญานการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่สภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินมีอยู่ราว 2.5 ล้านล้านบาท
"เศรษฐกิจซึมๆ อย่างนี้เราต้องติดตามดูว่าการบริโภคชะลอตัวหรือไม่ สิ่งที่เราต้องจับตาคือระบบการเงิน โดยให้ดูสัญญาณจาก NPL ที่จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย...เราไม่อยากให้เกิดวิกฤติกับโครงสร้างเศรษฐกิจ" นายสมชัย กล่าว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีความผันผวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และน่าจะส่งผลกระทบมากกว่าปัจจัยภายนอก อีกปัจจัยเป็นเรื่องผลกระทบจากการปรับลดมาตรการ QE