นายสุธน บุญประสงค์ รองผู้ว่าการระบบส่ง กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ.มีความพร้อมสำหรับมาตรการป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าของประเทศในช่วงที่สหภาพเมียนมาร์หยุดส่งก๊าซเพื่อหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงาน เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2556-14 มกราคม 2557 ส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าฝั่งตะวันตก ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอร์ยี่ โดยมีปริมาณก๊าซธรรมชาติที่หายไปประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 3,000 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตติดตั้งรวมประมาณ 33,000 เมกะวัตต์ ซึ่ง กฟผ.มีการบริหารจัดการโดยปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเป็นน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลแทน โดยคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณการใช้น้ำมันเตาจำนวน 111.30 ล้านลิตร และน้ำมันดีเซล จำนวน 10.7 ล้านลิตร ซึ่ง กฟผ.ได้สำรองน้ำมันทั้งน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลให้เพียงพอตลอดช่วงการทำงาน รวมทั้งรองรับกรณีที่งานเสร็จช้ากว่ากำหนดอีก 5 วัน
เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการการใช้ไฟฟ้าไม่สูงมากนัก โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 23,000 เมกะวัตต์(เป็นตัวเลขคาดการณ์ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์จริง) ด้วยกำลังผลิตสำรองที่มีอย่างเพียงพอและมีมาตรการสั่งการทดสอบเปลี่ยนเชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า กฟผ. จึงมั่นใจว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการหยุดการส่งก๊าซในครั้งนี้
สำหรับการเตรียมการในครั้งนี้ กฟผ.ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการทำหน้าที่ดูแลระบบไฟฟ้าของประเทศไทยให้มีความมั่นคง และมั่นใจได้ว่าจะมีกำลังผลิตสำรองเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กฟผ.ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนในการช่วยกันรณรงค์ประหยัดไฟฟ้า เช่น ปิดไฟดวงที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งจะเป็นการช่วยประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย