สำหรับค่าเงินบาทวันพรุ่งนี้ยังเป็นไปในทิศทางที่อ่อนค่าต่อ เนื่องจากมีปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นตัวกดดันให้เงินบาทอ่อนค่า
"พรุ่งนี้ โดยรวมแล้วบ้านเรายังมีปัจจัยการเมืองเป็นตัวกดดันให้บาทอ่อนค่าต่อ ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นอย่างไร แต่บ้านเรา โอกาสที่จะกลับมาแข็งค่าคงแค่ช่วงสั้นๆ ลงได้ไม่เยอะ" นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.20 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 104.56 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 104.25 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.3605 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.3584 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,230.84 เพิ่มขึ้น 6.22 จุด (+0.51%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 33,822 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,349.09 ลบ.(SET+MAI)
- นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงและบานปลายจนกระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการลงทุนภายใต้ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ก็อาจจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เติยโตเพียงแค่ 3-3.5% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 4-5%
- กระทรวงการคลัง เผยยอดการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร, กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 57(ต.ค.-ธ.ค.56) ต่ำกว่าเป้ารวมแล้วราว 3 พันล้านบาท แยกเป็น กรมศุลกากร จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าราว 6 พันล้านบาท, กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการราว 4 พันล้านบาท ขณะที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บได้เกินกว่าเป้าราว 7 พันล้านบาท
รมช.คลัง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองไว้ว่าไม่น่าจะมีผลกระทบยาวนาน และการชุมนุมน่าจะคลี่คลายลงได้ แต่ล่าสุดพบว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.กลับมีการยกระดับเพิ่มขึ้น โดยประกาศจะปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ประกอบกับปัจจัยในเรื่องเงินบาทอ่อนค่าที่มีผลให้การนำเข้าสินค้าบางรายการ เช่น สินค้าฟุ่มเฟือยต้องชะลอออกไป ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการจัดเก็บรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 57
- คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เตรียมเชิญตัวแทนฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพื่อหารือถึงแนวทางในการคลี่คลายวิกฤติ ตลอดจนแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปก่อนจะถึงวันที่ 13 ม.ค.ที่กลุ่ม กปปส.ประกาศจะปิดกรุงเทพฯ เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการรักษาการ ซึ่งขณะนี้ได้มีการแจ้งเตือนสมาชิกให้เตรียมพร้อมรับมือผลกระทบอันเกิดจากการปิดกรุงเทพฯ
- สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจวันนี้ว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 57 (ต.ค.-ธ.ค.56) หน่วยงานภาครัฐได้เบิกจ่ายงบประมาณไปราว 8.3 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท หรือต่ำกว่าราว 20%
- ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดทรงตัววันนี้ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับไม่ถึง 0.1% แตะ 327.8 เมื่อเวลา 08.06 น.ตามเวลาลอนดอน ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการของยุโรปและสหรัฐในวันนี้ ภายหลังจากที่จีนได้เปิดเผยดัชนี PMI ภาคบริการที่ชะลอลง
- นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มความพยายามในการสร้างเสถียรภาพด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ปรับขึ้นเงินเดือน เพื่อลดผลกระทบในเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการปรับขึ้นภาษีการขายในเดือนเม.ย.
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของยูโรโซนในเดือนธ.ค.ลดลงเล็กน้อยแตะ 51.0 จากระดับ 51.2 ในเดือนพ.ย. แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับข้อมูลเบื้องต้น ทั้งนี้ ข้อมูล PMI ล่าสุดของยูโรโซนสะท้อนถึงภาวะอ่อนแรงอย่างต่อเนื่องของตลาดในภูมิภาคบางส่วน ซึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราว่างงานของประเทศสมาชิกบางประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง
- สมาคมนายหน้าค้ารถยนต์ญี่ปุ่น เปิดเผยยอดขายยานยนต์ใหม่ในญี่ปุ่น(ไม่รวมรถยนต์ขนาดเล็ก) ปรับตัวลดลง 3.8% ในปี 56 จากปีก่อนหน้า สู่ระดับ 3,262,522 คัน โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการยกเลิกนโยบายสนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานของรัฐบาลเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา
- วุฒิสภาสหรัฐเตรียมให้การรับรอง "นางเจเน็ต เยลเลน" ขึ้นทำหน้าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันนี้ ซึ่งคะแนนเสียงที่จะรับรองนางเยลเลน ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากวุฒิสมาชิกลงคะแนนเสียงรับรองเธอมากเพียงพอ "ว่าที่ประธานเฟดคนใหม่" ก็จะมีเสียงสนับสนุนมากขึ้น เพื่อเดินหน้ากระบวนการที่เกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นทางการเงินได้อย่างราบรื่น แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและอ่อนไหวทางการเมืองก็ตาม
หลังจากวุฒิสภามีมติรับรองให้นางเยลเลน ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป วาระการดำรงตำแหน่งของนางเยลเลน จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ก.พ.57
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัวขึ้น 62 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 11,500 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,245.59 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.72 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกงในวันนี้